ตอนที่ 10: ไปกันใหญ่แล้วบล๊อกเกอร์ The irresistible Food Blogger
<<Previous อ่านตอนที่ 9 กดที่นี่<<
>>Next อ่านตอนที่ 11 กดที่นี่>>
ตอนที่ 10: ไปกันใหญ่แล้วบล๊อกเกอร์
The irresistible Food Blogger
เสียงคลื่นซัดหาฝั่งเบาๆ ลมเอื่อยๆรวมกับภาพทะเลและท้องฟ้าสีครามยามบ่ายที่อยู่ตรงหน้าทำให้อิ่มรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขมาก เมื่อเช้าตอนลงมารับประทานอิ่มไม่เห็นคุณอัค น้องปลาบอกว่าเขาล่วงหน้ามาที่ร้านอาหารทะเลนี่ก่อนเพื่อคุยเรื่องงาน ระหว่างที่บล๊อกเกอร์มารีวิวที่ร้านเขาก็มัวง่วนทำงานอะไรกับเอกสารหลายแผ่นที่อีกโต๊ะหนึ่ง ทั้งสองจึงยังไม่ได้มีโอกาสพูดกันเลยหลังจากแยกกันเมื่อคืนตอนดึกๆ อิ่มจำได้ลางๆว่าทั้งคู่เดินกลับโรงแรมมาด้วยกัน อัคมาส่งเธอถึงแค่ประตูลิฟท์ที่ชั้นของเธอแล้วกล่าวคำราตรีสวัสดิ์ เขาเป็นสุภาพบุรุษมากกว่าที่เธอคาดไว้ไม่มีการฉวยโอกาสใดๆทั้งสิ้นและให้เกียรติเธออย่างดีตลอดทั้งตอนที่อยู่กับคนมากๆหรือจะอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง นั่นก็ทำให้เธอประทับใจเขามากขึ้นไปอีก
ร้านอาหารซีฟู้ดริมทะเลที่เพิ่งรีวิวเสร็จนี้อยู่ใกล้เขาตะเกียบ หอยเชลล์ย่างเนยกระเทียมของที่นี่จัดว่ารสชาติเด็ดมากๆ หอยสดเนื้อเด้งดึ๋งๆย่างเนยและกระเทียมจนเหลือง หอม น้ำจิ้มซีฟู้ดมะนาวสดไม่สนใจฤดูกาลเป็นจุดเด่นที่สุดของร้านในมุมมองของอิ่ม มันช่างเข้ากันได้ดีกับหอยเชลล์ย่างเนยกระเทียมนั่นเสียกะไร พอรับประทานอาหารกันจนอิ่มและจัดการธุระเสร็จแล้วทุกคนก็ทยอยกันขึ้นรถตู้ อิ่มกำลังซื้อของฝากบางอย่างจึงตะโกนบอกน้องปลาว่า
“รอพี่จ่ายเงินแป๊บนึงนะคะ” พอได้ของใส่ถุงแล้วพนักงานก็ยื่นถุงให้เธอ แต่ก่อนที่เธอจะรับถุงนั้นมาก็มีมือใหญ่ๆมารับไว้ก่อน เจ้าของมือหันมากระซิบกับอิ่มว่า
“สำหรับคุณอิ่ม ผมก็รอได้เสมอครับ” เป็นอัคนั่นเองที่มาช่วยเธอถือของ อิ่มอดคิดถึงเรื่องราวเมื่อคืนไม่ได้ ถึงเธอจะไม่แน่ใจว่าจำได้หมดหรือเปล่าก็ตาม เธอยิ้มให้อัคและขอบคุณที่เขาช่วยถือของให้ ระหว่างทางกลับกรุงเทพอัคนอนหลับมาตลอดทาง ปล่อยให้อิ่มนั่งคิดฟุ้งซ่านอยู่คนเดียว
เธอหยิบโทรศัพท์มาส่งข้อความไปหากลุ่มไลน์ของ ส.อ.ซิ่งเพื่อนรัก เพื่อระบายและขอคำปรึกษาไปพร้อมๆกัน
“พวกแก ฉันมีเรื่องสีชมพูมาอัพเดทล่ะ” อิ่มพิมพ์เสร็จแล้วอมยิ้มอยู่คนเดียว เมื่อกดส่งไปก็มีข้อความตอบกลับมาอย่างทันควัน
“พี่แดนนี่ แดนนั่นเขาขอแกแต่งงานเหรอยะ แหม เพิ่งไปไหนมาไหนด้วยกันไม่นาน ไวไฟนะแก” น้ำผึ้งพิมพ์ตอบกลับมาอย่างรวดเร็วภายในไม่ถึง 5 วินาที
“ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ไม่รู้เป็นอะไร ช่วงนี้ชั้นดวงมีเสน่ห์ หรือไม่ก็ฟลุ๊กเกินคาดเลย มีผู้ชายเข้ามาทีเดียวสองคน ดีใจนะแต่ก็งงด้วย ไม่รู้จะทำไงต่อดี” อิ่มตอบ
“กรี๊ด นอกจากพี่แดนนี่แล้วยังมีใครอีกเหรอ” ริณีพิมพ์ตอบสวนกลับมาทันควัน
“มาฮ็อตตอนแก่นะคะคุณเพื่อน เป็นกระดังงาลนไฟเหรอ ร้อนไหมจ๊ะ” นิ๊กแซวมาทางตัวหนังสือ
“กระดังงาลนไฟยังไงก็ไม่ดำเท่าแกหรอกย่ะ นิ๊ก” อิ่มพิมพ์ตอบไปพร้อมส่งรูปการ์ตูนหัวเราะปากกว้างตาม
“แหม มีผู้ชายมาแย่งชิงนิดหน่อย ปากคอเราะร้าย เล่ามาเลย ไหนมีใครอีกคนเหรอ หล่อไหม รวยป่าว” ออร่าถาม
“อยากเม้าแบบเห็นหน้านัดเจอกันด่วน พุธหน้าเลย” นิ๊กพิมพ์ตอบมา
“ติดนัดกับแก๊งเพื่อนที่ทำงานเก่าน่ะสิ ไปไม่ได้” อิ่มตอบกลับไป
“งั้นโทรคุยประชุมสาย telecon ตอนนี้เลย” ริณีเสนอ พร้อมส่งการ์ตูนทำท่าคุยโทรศัพท์มา
“ไม่ได้ นั่งอยู่ในรถกับเขาและคนอีกมากมาย” อิ่มตอบแล้วรีบส่งการ์ตูนทำท่าว่าไม่ได้
“โอ๊ย งั้นใคร บอกชื่อมาก่อนสิ” น้ำผึ้งรุกถาม
“คุณอัคน่ะแก ที่ทำบริษัทแอ๊ฟจองโต๊ะที่ชั้นไปรีวิวร้านอาหารให้น่ะ” อิ่มตอบไปอย่างรวดเร็ว
“คนที่แกเล่าว่า ตอนเจอกันวันแรกก็ชนตัวหนาๆของแกปลิวลงไปกองกับพื้นออฟฟิศนั่นน่ะเหรอ?” ออร่าถาม
“เออ คนนั้นหล่ะ แต่จริงๆเค้านิสัยดีนะแก” อิ่มตอบไปตามที่คิด
“ชอบเค้าล่ะสิ ออกตัวปกป้องกันขนาดนี้” ริณีแซว
“แล้วไง นี่ไปทะเลเสาร์อาทิตย์นี้ คือไปกับเขาใช่ไหม โอ๊ย นังใจแล่น” จินนี่พิมพ์ตอบ
“ป้ามาแล้ว มัวไปไหนมา ซักมันให้ละเอียดเลยค่ะป้า” ออร่ายุแยง
“มาทำงานกับคนร่วมสิบชีวิตย่ะ ไม่ใช่มาสองต่อสอง” อิ่มรีบตอบ
“ใจเย็นๆ อายุไม่ได้น้อยแล้ว ไม่ต้องรีบไม่ต้องใจร้อน ค่อยๆดูๆไป” ป้าจินนี่ตอบกลับมา พร้อมส่งสติกเกอร์รูปคนชุดนุ่งขาวห่มขาวนั่งสมาธิมาให้
“ป้าสรุปได้ดี แก่ปูนนี้แล้วไม่ต้องตื่นเต้นนะแก” น้ำผึ้งบอกกอิ่ม
“บ้า ฉันแค่ฟังยังตื่นเต้นแทนเลยแก อายุปูนนี้แล้วยังมาฮ็ฮตได้เนี่ย” ออร่าตอบแล้วส่งรูปคนหัวเราะดังๆตามมา
“ขอบใจเพื่อนๆ ไม่น่าเชื่อเน๊อะ ฉันเองอยากจะกรี๊ดดังๆเหมือนกันแต่ตอนนี้ทำไม่ได้ พิมพ์คุยกับพวกแกก็พอช่วยแก้ขัดไปได้” อิ่มตอบ
“โอ๊ย อยากเจอ งั้นว่างเมื่อไหร่นัดมาละกัน ระหว่างนี้มีไรใหม่ก็อัพเดทกันมาด้วย ไปบินก่อนนะ” นิ๊กตอบ
“ตกลง เดี๋ยวนัดวันไปนะ” อิ่มตอบ แล้วเพื่อนๆส่งสติกเกอร์รูป ok แปลว่าตกลงมาคนละแบบ อิ่มนั่งยิ้มให้ตัวเอง แต่พอมองไปข้างหน้าเห็นอาคารสูงๆของกรุงเทพอยู่ไกลๆก็รู้ตัวว่าต้องกลับเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริงแล้ว งานรอเธออยู่ รอยยิ้มเมื่อครู่ก็ค่อยๆจางลงไป
------------------------------------------
เสียงช้อนกระทบส้อมและกระทบกับจาน ดังสลับกันไปมาผสมกับเสียงดูดหลอดน้ำและเสียงพูดคุยกันจ๊อกแจ๊กปนเสียงหัวเราะเฮฮาดังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด โต๊ะสีขาวหลายตัวและเก้าอี้นวมสีเข้ากัน วางเรียงรายเต็มพื้นที่ ผนังวอลเปเปอร์สีอ่อนลายดอกไม้หลากหลายพันธ์กับพื้นหินอ่อนสีนวลสว่างตารับกับแสงสว่างที่เข้ามาจากผนังกระจกใสโดยรอบ ทำให้ที่สถานที่แห่งนี้ดูสว่าง โปร่ง สบายตา สิ่งของตกแต่งก็สวยงามร่วมสมัยหรือแบบที่ฝรั่งเรียก modern vintage
บนผนังก็มีข้อความภาษาอังกฤษที่เป็นคำพูดของคนดังๆในฝั่งประเทศตะวันตกหลายข้อความ ซึ่งเขียนด้วยพู่กันสะบัดเป็นลายมือเชิงศิลป์ ดูสวยงามและทำให้สถานที่นี้ดู “มีอะไร” มากกว่าจะเป็นแค่ร้านขายขนมและกาแฟสวยๆกลางกรุงเทพทั่วๆไป
ตรงหน้าของอิ่มมีเค้กครึ่งวงกลมสามมิติ รูปหมีแพนด้าเงยหน้ามองเพดาน เค้กถูกขนาบด้วยไอศกรีมวนิลาก้อนโตพร้อมวิปครีมฟูฟ่องโรยด้วยถั่วอัลม่อนผงและซอสสตรอเบอร์รี่สีแดงสดตัดกัน ดูเป็นขนมที่สวยน่ารักมาก จนอิ่มแทบจะไม่อยากเอาช้อนไปตักทำลายความน่ารักของเค้กเลย เธอมองมันอยู่นานหลังจากถ่ายภาพเสร็จและพยายามตัดใจจากเค้กด้วยการเอื้อมมือไปหยิบแก้วกาแฟลาเต้เย็นใส่คาราเมลของตัวเองขึ้นมาดื่ม แต่ก่อนที่จะหยิบหลอดขึ้นมาดื่มอิ่มก็อดที่จะมองความประณีตในการตกแต่งกาแฟของร้านนี้ไม่ได้ แก้วพลาสติกใส มีริ้วของซอสคาราเมลหมุนวนเป็นวงรอบตัวแก้วหลายชั้น ตัวกาแฟเองก็แบ่งเป็นสามชั้นสวยงาม ด้านล่างสุดเป็นนมสีขาวนวล แน่นอนว่าอิ่มสั่งแบบนมปกติชุดใหญ่ไขมันเต็ม เพราะอิ่มรู้ดีว่ามันอร่อยกว่าพวกนมพร่องมันเนยหรือนมขาดมันเนยหลายเท่าตัว ชั้นที่สองของกาแฟจึงค่อยเป็นกาแฟสีเข้มแทรกอยู่ระหว่างก่อนน้ำแข็งก้อนเล็กๆและด้านบนก็โป่ะมาด้วยฟองนมตีมาอย่างละเอียด เนียนเหมือนปุยเมฆ มีการเหยาะอบเชยบดละเอียดมาบนฟองนมส่งกลิ่นหอมยั่วยวนมาก
แม้ว่าอิ่มจะถ่ายรูปทั้งขนมและเครื่องดื่มต่างๆบนโต๊ะไปทั้งหมดแล้ว อิ่มก็ยังอดจะทึ่งกับความคิดของทางเจ้าของร้านไม่ได้ว่าทำขนมออกมาได้อย่างสร้างสรรค์จริงๆ อิ่มตัดใจใช้หลอดคนให้ส่วนผสมทุกอย่างในแก้วกาแฟเข้ากันเป็นเนื้อเดียว แล้วยกขึ้นมาดูดอึกใหญ่ กาแฟผสมอบเชยป่นส่งกลิ่มหอมละมุนมาก อิ่มหลับตาเก็บกาแฟไว้ในปากครู่สั้นๆแล้วกลืนลงคออย่างช้าๆ อิ่มลืมตาขึ้นมองแก้วในมือด้วยความผิดหวัง นอกจากกลิ่นหอมแล้วมันไม่ได้อร่อยอะไรเป็นพิเศษเลย ไม่ต่างกับร้านห้องแถวแก้วละห้าสิบบาทเท่าไหร่นัก ทำไมมาขายที่นี้ได้แก้วละ ร้อยห้าสิบบาท แล้วมีคนมากินเต็มร้านไปหมดอีกต่างหาก เธองงกับตรรกะของสาวๆวัยรุ่นผู้มีกำลังซื้อในเมืองกรุงเหล่านี้เป็นอย่างมาก บนโต๊ะมีขนมสี่อย่าง น้ำ สี่แก้ว
เมื่อซักครู่คิดราคามา พันกว่าบาท อิ่มตกใจในความแพงแต่ก็แอบหวังว่ามันจะไม่ได้แค่น่ารักมากแต่มันคงจะอร่อยมากสมราคาด้วย กาแฟอึกแรกที่เพิ่งกลืนลงคอไปเมื่อสักครู่นี้สร้างความผิดหวังให้อิ่มไม่ใช่น้อย อิ่มมองไปที่เค้กรูปหมีแพนด้าน่านักในจานนั้นแล้วชั่งใจ มันจะรสชาติธรรมดาอีกไหมหนอ วันนี้อิ่มนัดเพื่อนแก๊งทานดะ เพื่อนสายรับประทานแหลกสมชื่อกลุ่มทานดะจากที่ทำงานเก่าที่นัดเจอกันในร้านกลางใจเมือง
“เท่าที่อิ่มเล่ามา เป็นฟู้ดบล๊อกเกอร์นี่น่าสนุกนะ หยกตามแต่อินสตาแกรม ไม่รู้เลยว่า ฟู้ดสเปซของอิ่ม มีเบื้องหลังการทำงานจริงจังอย่างนี้ด้วย แล้วเราชอบกินอยู่แล้วหยกว่าอิ่มเหมาะกับงานนี้มากล่ะ” สาวหน้าสวยเข้มพูดหลังจากเอาช้อนของเธอมาทำลายหน้าหมีแพนด้าจนแหว่ง และหลังจากที่พูดจบประโยคเธอก็กินหน้าของหมีแพนด้าส่วนนั้นเข้าไปด้วยความเอร็ดอร่อย
“แต๊งกิ้วจ้ะพี่หยกที่ให้กำลังใจ เพิ่งเริ่มทำจริงจังน่ะ ยังต้องทำอะไรอีกเยอะค่ะ” อิ่มตอบเพื่อนพลางใช้ช้อนทำลายหน้าอีกข้างของเค้กแพนด้าน้อย
“ก็ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบมันก็สนุกอยู่แล้วใช่เปล่า แต่อีกกี่ปีแกจะได้ค่าตัวการเป็นฟู้ดบล๊อกเกอร์ถึงครึ่งนึงของเงินเดือนของแกทุกวันนี้วะเนี่ย” หญิงผมซอยสั้นร่างอวบ ขยับแว่นแล้วถามอิ่มหลังจากที่เธอเองก็ซดกาแฟลงท้องไปอีกใหญ่
“พี่ลูกเกดคิดเหมือนอิ่มเลย เงินที่ได้นี่มันน้อยมาก บางครั้งยังไม่คุ้มค่าน้ำมันรถ หรือค่าลางานไปรีวิวเลยนะพี่ แต่ใจมันรักอ้ะ ใครชวนไปรีวิวอะไรก็ไปหมด อิ่มล่ะอยากให้งานฟู้ดบล๊อกเกอร์เป็นอาชีพหลักได้จริงๆเชียว ตอนนี้เบื่องานมากที่สุดในสามโลก” อิ่มควักลูกตาของหมีแพนด้าซึ่งทำจากช๊อกโกแลตด้วยช้อนแล้วตักใส่ปาก
“เงินเดือนแกเยอะเองนะอิ่ม แกลองเงินเดือนสองหมื่นสิ เป็นฟู้ดบล๊อกเกอร์เต็มตัวเนี่ย แกก็ได้รายได้อย่างต่ำๆก็เกือบสองหมื่นบาทต่อเดือนได้ไม่ยากไม่ใช่เหรอ ใช้ประหยัดๆหน่อยก็พอใช้นะ” สาวร่างท้วมผมสั้นอีกคนพูดก่อนจะตักพุดดิ้งชาเขียวเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆอย่างมีความสุข พลางใช้อีกมือเล่นเกมส์ในเครื่องแทบเบลท คนสมัยนี้สามารถทำหลายอย่างในขณะเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“แล้วอิ่มจะเอาอะไรผ่อนคอนโด ผ่อนรถล่ะพี่เจแปน เหลืออีกตั้งหลายปี เงินสองหมื่นบาทต่อเดือนสำหรับอิ่มตอนนี้ มันไม่พอน่ะสิ ถ้าไม่ต้องผ่อนอะไรเลย ก็ว่าไปอย่าง พี่ก็รู้เงินเดือนอย่างเราๆ มีเยอะก็ใช้เยอะจนชิน จะมาหักดิบใช้เดือนละสองหมื่นกระทันหันนี่ มันยากนะคะ” อิ่มตอบแบบรู้สึกผิดนิดๆ มนุษย์เงินเดือนในยุคอิ่ม เป็นเรื่องปกติมากที่จะซื้อของชิ้นใหญ่ด้วยเงินผ่อน ซึ่งก็คือการเอาเงินในอนาคตมาใช้ก่อนนั่นเอง แล้วก็เสียดอกเบี้ยกันไปตามอัตรา จะให้รอเก็บเงินสดก้อนโตๆ ก็ไม่ทันซื้อของชิ้นใหญ่อยู่ดี เพราะว่าอัตราเงินเฟ้อก็ทำให้ข้าวของขยับราคาสูงขึ้นหนีออกไปอีก
“นับเงินเก็บสิแก ถ้ามีพออยู่ได้ซักปีสองปีนะก็ออกไปเลย ลุยเต็มตัวไปเลยเดี๋ยวค่อยว่ากัน ยังไงคนเก่งๆคล่องๆอย่างแกก็กลับมาหางานตามออฟฟิศได้อยู่แล้ว” ลูกเกดพูดเชียร์เต็มตัว พร้อมใช้ช้อนตักพุดดิ้งชาเขียวมารับประทาน
“เงินเก็บมันมีไม่พอจะออกน่ะสิพี่ลูกเกด ก่อนหน้านี้ตอนเบื่องานมากๆ ก็มานั่งคำนวนดูว่าถ้าเลิกทำงานแล้วอยู่ประหยัดๆนะ แล้วด้วยดอกเบี้ยกองทุนที่ปลอดภัยซัก 3-4 % เนี่ย เราต้องมีเงินเท่าไหร่ถึงจะออกจากงานได้ทันทีแล้วมีชีวิตรอดได้ตลอดไป แต่อาจจะต้องอยู่อย่างมัธยัสหน่อย” อิ่มอธิบายปนรำพึง
“เท่าไหร่อ้ะ คิดให้ฉันมั่งดิ เบื่องานเหมือนกัน เอาแบบอยู่แบบพอเพียงก็ได้ คอนเสิร์ตวงเจร็อกที่ญี่ปุ่น ยอมไปดูแค่ปีละครั้งก็ได้ ไม่เอา 6-7 ครั้งต่อปีอย่างทุกวันนี้ก็ได้ ซื้อแผ่นมาดูเอา” เจแปนถามอย่างสนใจ
“ถ้ายังรับประทานขนาดนี้” อิ่มกวาดนิ้วไปทั่วโต๊ะ ที่ตอนนี้เหลือแต่ซากจนและแก้วที่ว่างเปล่า “แล้วจะไม่ทำงานอะไรอีกแล้ว และยังจะเที่ยวเมืองนอกอย่างพอสบายอยู่บ้าง ตัวเลขที่ออก ที่ต้องมีไม่ต่ำกว่านี้แล้วจะอยู่ได้คือ ยี่สิบล้านบาท .. เลขศูนย์เยอะจนใส่คอมม่าไม่ถูกเลยค่ะ” อิ่มตอบเสียงเจื่อนๆ
“โห แกจะไปหามาจากไหนล่ะ แต่ก็ถ้าจะเลิกทำงานเลยแบบเกษียณตัวเองตอนสามสิบกว่าๆ มันก็ต้องมีเงินเยอะๆอย่างนี้หล่ะนะ เอาไว้ใช้ไว้กินอีกหลายสิบปีกว่าจะตาย” หยกพูดด้วยสีหน้าสะพรึงกลัว
“ก็เลยยังลาออกไม่ได้ ต้องทนกัดฟันทำงานต่อไปนี่ไงคะคุณพี่” อิ่มตอบ
“แล้วมาทุ่มเททำบล๊อก ใช้เวลาเยอะอย่างนี้ ทางบริษัทเค้าไม่ว่าอะไรเหรอ” เจแปนถาม
“เค้ายังไม่รู้น่ะสิเจแปน” ลูกเกดชิงตอบก่อนที่อิ่มจะได้อ้าปาก
“โห พี่เจ้รู้ทันน้องตลอดล่ะ” อิ่มตอบเขินๆ ทุกคนในโต๊ะหัวเราะกันครื้นเครง
“แต่ถึงเค้ารู้ อิ่มก็ไม่ได้ทำงานเสียนะ แต่จากที่เคยทำงานให้เค้า 200 เปอร์เซนต์ ตอนนี้ก็ทำแค่ 100เปอร์เซนต์เหมือนคนอื่นๆพอ เก็บแรงอีก 100เปอร์เซนต์ไว้ทุ่มให้ฟู้ดสเปซ” อิ่มอธิบาย
“เค้าก็จะมองว่าเราผลงานตกต่ำลงรึเปล่าอิ่ม เพราะแต่ก่อนทุ่มเททำไว้เยอะ เหมือนมาตรฐานที่เจ้านายมองเรามันไม่ใช่ที่100 แต่เป็นที่200เหมือนที่เคยทำ แล้วพอลดลงมาเหลือ 100เหมือนชาวบ้านก็กลายเป็นว่าเราทำงานมีประสิทธิภาพลดลง” เจแปนตั้งข้อสงสัย
“ก็ถ้าเทียบกับตอนที่ลงแรงไปสองร้อยเปอร์เซน ตอนนี้ก็คงดูแผ่วๆไปจริงๆล่ะพี่เจแปน แต่ไม่ถึงขั้นแย่อะไรนะ งานก็เสร็จทันกำหนดทุกอย่าง คือตอนนี้มันเบื่อมากแล้วน่ะ ถ้าไม่ต้องผ่อนรถ ไม่ต้องผ่อนคอนโดนะ จะลาออกมาอยู่บ้านเฉยๆ เป็นฟู้ดบล๊อกเกอร์มือใหม่รายได้พอกินไปแล้วแล้วเนี่ย” อิ่มพูดด้วยเสียงจริงจัง
“แกก็ไปเป็นออแกไนซ์เซ่อร์ด้วยไง แบบ ฟรีแล๊นส์รับจัดงานประชุม งานแต่งได้ด้วยไง สมัยก่อนจัดงานออฟฟิศทีไร ถ้าได้แกเป็นแม่งานนะ ต่อให้คนทั้งบริษัทเป็นร้อยนะงานก็สนุกและลุล่วงไปได้ด้วยดีทุกครั้งเลย แถมแกพูดได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เป็นพิธีกรเองได้อีกต่างหาก น่าจะหารายได้เสริมได้อย่างดี” หยกเสนอความคิด
“เออ จริงด้วยนะอิ่ม สมัยนี้พวกคนดำเนินงานประชุม พวกที่ต้องพูดบนเวทีแล้วสนุก แล้วคนชอบเนี่ยหาไม่ง่ายนะ รายได้ก็น่าจะไม่เลว แกเองก็เข้าท่าอยู่” ลูกเกดสนับสนุน
“ตอนนี้ ก็เริ่มเขียนบล๊อกแล้ว อินสตาแกรมก็มีคนตามเป็นหมื่นแล้ว โซเชี่ยลมีเดียอื่นๆก็มีครบทุกรูปแบบแล้ว ได้ไปรีวิวร้านมาก็หลายร้าน ถ้าจะยึดเป็นอาชีพจริงๆ คงพอจะทำได้นะ แต่ต้องโปรโหมตตัวเองให้เป็นที่รู้จักมากกว่านี้ คนจะได้จ้างไปรีวิวไปเป็นพิธีกร” เจแปนเสนอความคิด
“ถ้าได้อย่างงั้นก็ดีสิคะ แต่อิ่มไม่มีตังค์จ้างใครโปรโหมตตัวเองหรอกนะคะ ก็ต้องค่อยๆทำไป” อิ่มตอบ
“นี่ถ้าอิ่มได้เข้าวงการบันเทิงละก็นะ รวยเละ อย่าว่าแต่เดือนละสองหมื่นเลย เดือนละสองแสนก็เรื่องเล็ก” หยกพูดลอยๆ ลูกเกดทำหน้าเหมือนนึกอะไรออก
“ฉันมีรายการทีวีให้แกไปออกฟรี เอาไหมล่ะ แต่ไม่ได้ค่าตัวนะได้แต่ค่าเดินทางนิดหน่อย” ลูกเกดกล่าวจริงจัง
“จริงเหรอพี่ลูกเกด อะไร ยังไงคะ” อิ่มถามตาโต
“จริงสิ ลูกค้าเพิ่งเปิดสถานีทีวีดิจิตอล งบน้อย ไม่มีรายการจะออนแอร์ คิดไม่ออกก็จะทำรายการตระเวนกิน เค้าให้ทีมครีเอทีฟบริษัทพี่คิดงานให้อยู่เนี่ย ถ้าเอาไอเดียว่ามีฟู้ดบล๊อกเกอร์ไปแจมด้วย เค้าน่าจะสนใจ” ลูกเกดอธิบาย
“ดีเลย ถึงไม่ได้เงิน ถึงจะเป็นรายการเล็กๆของช่องที่ไม่ค่อยมีใครดู แต่ได้สร้างชื่อเสียงนะอิ่ม เอาไปลงบล๊อก ลงอินสตาแกรมต่อได้ด้วยนะ”เจแปนยุ
“หนูไม่สวยนะพี่ เป็นหมวยมาตรฐานเอเชีย ออกทีวีจะไหวเหรอคะ” อิ่มถาม
“ฉันไม่ได้ชวนเพราะแกสวย ฉันรู้ว่าแกมีดี แกตลกก็ได้ เป็นทางการก็ไหว แล้วก็มีพื้นฐานการเป็นฟู้ดบล๊อกเกอร์อยู่แล้วด้วย สนไหมล่ะ” ลูกเกดถามต่อ
“สนสิพี่ลูกเกด สนมากๆด้วย ให้อิ่มไปเมื่อไหร่ยังไงบอกมาเลยค่ะ” อิ่มตอบทันควัน
“ไปลองซักเทปนึงก่อน ถ้าดีค่อยว่ากัน ถ้าไม่ไหวก็เดี๋ยวค่อยว่ากัน แต่พี่ว่ายกเว้นเรื่องไม่สวยเนี่ย อย่างอื่นอิ่มน่าจะโอเคหมด ทำได้แหล่ะเราน่ะ” ลูกเกดกล่าวจบ มองหน้าอิ่มแล้วพยักหน้าให้หงึกหงัก
“หยกไม่เคยเห็นใครชวนคนไปทำงานด้วยได้จริงใจมากเท่านี้เลยค่ะพี่ลูกเกด” คนทั้งโต๊ะหัวเราะครื้นเครง
“ขอบคุณค่ะพี่เจ้ที่ให้โอกาสอิ่ม” เธอยกมือขึ้นไหว้ลูกเกดซึ่งยกมือขึ้นรับไหว้อย่างทันควัน
“แกจะมาไหว้ชั้นทำไม ก็ช่วยๆกัน แกก็มาช่วยให้รายการมันมีสีสันด้วยไง” ลูกเกดตอบ
“อ่าวๆเก็บตังค์ๆ เย็นนี้แกมีนัดเดทต่อไม่ใช่เหรออิ่ม เดี๋ยวก็ไปไม่ทันหรอก” หยกเรียกพนักงานเก็บเงิน
“หมั่นไส้นักเชียว บทจะดวงรุ่งนี่อะไรก็ดึงไม่อยู่เลยนะน้อง เสาร์ที่แล้วไปทะเลกับคนนึง วันนี้ไปดินเน่อร์กับอีกคนนึง” เจแปนแซวอิ่มแบบติดตลก
“อิ่มก็แห้งเหี่ยวมาหลายปีแล้วนะพี่ๆ ขอมีเรื่องกรุบกริบให้ชื่นใจบ้างนะคะ” อิ่มตอบแล้วหัวเราะ
“ชื่นใจ หรือช้ำใจยะ” เจแปนพูดด้วยเสียงเตือนสติน้อง
"สุดท้ายแล้วก็อาจจะไม่เหลือใครตามเดิมก็ได้ค่ะพี่ ไม่ได้ซีเรียสอะไร เข้ากันได้ก็ดูกันไป ไม่งั้นก็จบ" อิ่มตอบแบบแอบเผื่อใจ
“เอาน่า โตๆแล้วปล่อยมันไป อย่างมากมันก็เรียกพวกเรามากินข้าวร้องไห้ฟูมฟายเองล่ะ” ลูกเกดพูดด้วยอารมณ์ขัน
อิ่มยิ้มอย่างมีกำลังใจ และรู้สึกขอบ
คุณที่เธอมีเพื่อนและพี่ๆที่แสนดีและเข้าใจกัน แต่ตอนนี้เธอรู้สึกแน่นไปหมดจนแทบอยากจะปลดกระดุมกางเกงแล้ว ตอนกินทำไมไม่คิดนะอิ่มเอ๊ย พอเลิกกินเท่านั้นล่ะ ตัวจะแตกทุกทีไป
---------------------------------------
<<Previous อ่านตอนที่ 9 กดที่นี่<<
>>Next อ่านตอนที่ 11 กดที่นี่>>