ตอนที่4: จุดกำเนิด พื้นที่ความอร่อย The Rise of Food Space

<<Previous อ่านตอนที่ 3 คลิ๊กที่นี่<<    
>>Next อ่านตอนที่ 5 คลิ๊กที่นี่ >>

ตอนที่4: จุดกำเนิด พื้นที่ความอร่อย

The Rise of FoodSpace

เช้าตรู่หนึ่งสัปดาห์ต่อมา เช้าวันจันทร์วนมาถึงอีกครั้งหนึ่งหลังจากเครื่องลงเมื่อคืน ขณะที่อิ่มกำลังขับรถไปทำงานบนท้องถนนที่เต็มแน่นไปด้วยรถราของการจราจรแบบกรุงเทพที่ทำให้ใครหลายต่อหลายคนเหนื่อยใจเหนื่อยกายตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มทำงาน เสียงห้าวๆก็ดังระเบิดมาตามสัญญาณโทรศัพท์ออกทางลำโพงหูฟังของโทรศัพท์มือถือจนอิ่มต้องขยับให้สายหูฟังห่างออกไปเล็กน้อยก่อนที่หูจะอื้อ

“ว้าย แล้วไงแก มีผู้ชายเลี้ยงข้าวเที่ยงอาหารตามสั่งจากร้านเพิงข้างที่ทำงานแก แล้วก็ยังจะไปทำงานที่สิงค์โปร์ด้วยกันแบบนั่งข้างกันบนเครื่องบินอีก แล้วไงอีกแก” เสียงริณีดังตามสายโทรศัพท์มาอย่างตื่นเต้น ยามเช้าขณะที่ต่างคนต่างรีบเร่งออกไปทำงาน อิ่มกับเพื่อนๆมักจะใช้เวลาบนท้องถนนคุยโทรศัพท์เล่าสารทุกข์สุกดิบกันอยู่เสมอๆ

“ไม่น่ามีอะไรนะ งานที่สิงค์โปร์มีคนจากบริษัทชั้นไปทั้งหมดเจ็ดคนรวมทั้งนายใหญ่ด้วย คุณดนัยเดชก็เขาก็ดูปกติกับฉันดี วันนึงประชุมกันดึกที่สิงค์โปร์ฉันก็ซื้อกาแฟไปตอบแทนเขาเรื่องที่เลี้ยงผัดซีอิ้วฉันเมื่อวันก่อน เขาก็ไม่เห็นไม่มีทีท่าว่าหวังประโยชน์เรื่องงานจากฉันด้วย แถมยังดูแลฉันเป็นอย่างดีตลอดเวลาที่ประชุมอยู่ที่สิงค์โปร์ ก็ตามประสาเพื่อนร่วมงานที่ดีต่อกันเท่านั้นล่ะน่า” อิ่มตอบริณีอย่างไม่ได้คิดอะไรมาก

"ได้ไปกินข้าวกันสองต่อสองอะไรมั่งไหมแก" เพื่อนถามจี้อย่างลงรายละเอียด

"ไม่มีเลยแก ผู้ใหญ่เต็มงานไปหมด ตารางแน่นแทบไม่ได้พักเลย แต่ก็บอกแกแล้วไง เขาไม่น่าจะมาชอบอะไรฉันแบบนั้นหรอก" อิ่มบอกเพื่อนพร้อมกลอกตาขึ้นบน

“ชั้นว่ามันทะแม่งๆแก มันต้องมีอะไรมากกว่านี้ อย่ามาแอ๊บไร้เดียงสา ไปสืบมาก่อนเลยว่าพี่ดนัยเดชอะไรเนี่ยเค้ามีลูกมีเมียรึยัง หน้าที่การงานดีขนาดนี้หลุดเหลือมาโสดได้ยังไง" ริณีตั้งข้อสงสัย

"เออ ก็ได้เดี๋ยวไปสืบๆดูแบบเนียนๆ" อิ่มรับปากเพื่อนแต่ยังไม่ปักใจเชื่ออะไร "มีความคืบหน้าอะไรแล้วเล่าให้ฟังด้วยนะ ฉันถึงที่ทำงานแล้ว ไปก่อนล่ะ Have a nice day บ๊ายบาย” ริณีบอกลาเพื่อนแล้ววางสายไป ไม่นานหลังจากนั้นอิ่มก็มาถึงออฟฟิศเป็นคนแรกๆอีกเช่นเคย ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ อิ่มไม่ได้แตะต้องการพัฒนาการรีวิวอาหารใดๆเลย นอกจากจะลงรูปวันละสองสามรูปเหมือนที่เคยทำๆมาจากอาหารที่สิงค์โปร์เท่านั้น

เมื่อเปิดประตูห้องทำงานเข้ามาเธอก็แปลกใจที่เห็นแก้วกาแฟจากร้านชื่อดังวางอยู่บนโต๊ะพร้อมมีจดหมายน้อยๆเขียนบนกระดาษกาวโพสอิทสีเหลืองอ่อนแป่ะไว้ที่ฝาแก้วว่า

“Good Morning ครับ จากดนัย”

“พี่เขาตามมาเลี้ยงกาแฟคืนถึงเมืองไทยเลยเหรอเนี่ย” อิ่มทำหน้าตาประหลาดใจ พี่เขามาเช้ากว่าเราด้วย

ควันที่ลอยกรุ่นอยุ่บนแก้วกาแฟแบบสั่งกลับบ้านหรือ Take Away นี้แสดงว่ากาแฟเพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ กลิ่นหอมหวลเข้มๆของเมล็ดกาแฟคั่วสดผสมกับกลิ่นหอมหวานของน้ำเชื่อมบางอย่าง มันช่างเป็นการเริ่มต้นวันใหม่ที่ดีงาม กาแฟดีๆเป็นพลังงานอย่างวิเศษให้พนักงานออฟฟิศทุกคนที่ใช้ร่างกายราวเครื่องจักร อิ่มนั่งลงที่เก้าอี้แล้วหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาถือด้วยสองมือ หลับตาพริ้มแล้วสูดลมหายใจลึกๆดมกลิ่นหอมของกาแฟให้เข้าไปลึกสุดปอด แล้วค่อยๆจิบกาแฟที่ยังอุ่นๆอยู่ เธอสัมผัสได้ถึงกาแฟรสเข้มแต่นุ่มนวลด้วยฟองนมละเอียดราวปุยเมฆและหอมหวานด้วยน้ำเชื่อมกลิ่นวนิลาจางๆ รอยยิ้มที่มุมปากของเธอปรากฎขึ้นมาเองโดยไม่รู้ตัว

“อืมดีจัง วนิลาลาเต้ เค้ารู้ได้ยังไงว่าเราชอบกินแบบนี้” อิ่มอุทานอย่างแปลกใจและลึกๆแล้วรู้สึกประทับใจ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาคุณดนัยเดช

“ขอบคุณค่ะ Good Morning เช่นกันนะคะ” อิ่มเหลือกตามองขึ้นสูงแล้วพึมพำกับตัวเองว่า นี่มันไม่ได้มีอะไรทะแม่งๆใช่ไหม แล้วกดปุ่มส่งข้อความไป เธอยิ้มให้คอมพิวเตอร์อย่างอารมณ์ดี และตั้งใจจะหาข้อมูลการพัฒนาการรีวิวอาหารแบบ food blogger เพิ่มเติม แต่ยังไม่ทันจะเปิดอินเตอร์เนท อีเมลงานก็เด้งขึ้นมาในถาดเข้าจาก ผ.อ.ใหญ่

“ขอบคุณคณะทำงานทั้ง 7 คนที่ไปสร้างผลงานที่เยี่ยมยอดที่สิงค์โปร์ นิวยอร์กพอใจผลงานของเรามากโดยเฉพาะการนำเสนอถึงช่องทางและโอกาสของบริษัทในปีหน้าของคุณอมรินทรา เฮ้ยย ชื่อเรานี่หว่า” อิ่มอ่านออกเสียงเบาๆอย่างปลื้มใจ ผ.อ.ใหญ่จำเราได้แล้วด้วย ไม่เสียแรง ห้าวันที่ผ่านมาวิ่งงานขาขวิดอยู่ที่สิงค์โปร์ นี่ผ.อ.ส่งหาคนทั้งบริษัทเลยด้วย ให้เครดิตกันเยอะนะเนี่ยคราวนี้ ท่าทางงานเราจะถูกใจลุงเค้าจริงๆ ได้ข่าวดีแต่เช้าเลยเรา อิ่มอดยิ้มให้ตัวเองไม่ได้ อีกหนึ่งชั่วโมงจะเริ่มเวลาทำงาน

อิ่มหุบยิ้มจากอีเมลเมื่อซักครู่แล้วตั้งใจเปิดอินเตอร์เนทหาข้อมูลการเป็น food blogger ต่อไป “นี่เราต้องลงทุนซื้ออุปกรณ์ใหม่ กล้องเอย เลนส์เอย รึเปล่าเนี่ย ทำไมต้องลงทุนเยอะจัง เอางี้เริ่มจากการ สมัครบัญชีผู้ใช้งาน หรือ account ตามช่องทาง platform ต่างๆให้ครอบคลุมก่อนดีกว่า Facebook page, Youtube, Wongnai ,Trip Advisor, พันทิพย์ เค้าบอกว่าให้พยายามใช้ชื่อเดียวกันให้หมดทุกอย่าง คนจะได้จำง่ายๆ” อิ่มพูดกับตัวเองขณะที่คลิ๊กอ่านเวบไซท์ เธอทำเพจอาหารเผยแพร่รูป อาหาร เครื่องดื่ม ที่พักผ่อนหย่อนใจ ตอนนี้บัญชีอิ่มใน อินสตาแกรมชื่อ Fabulicious_Chillaxing ตั้งให้ดูเก๋ๆยาวๆ แปลว่า สวยด้วยอร่อยด้วยและชิลด้วย อิ่มชอบชื่อนี้มาก แต่ถ้าจะให้คนหมู่มากโดยเฉพาะคนไทยจำชื่อให้ได้ คงต้อง ยกเครื่องการทางตลาดใหม่ หรือที่ฝรั่งเรียก Rebranding หาชื่อที่สั้นๆกระชับ จำง่ายมาแทน เอาอะไรดีนะ อาหารก็คือ Food ฟู้ดอะไรดีหว่า อิ่มเปิดอินเตอร์เนทลองเปลี่ยนชื่อดู ชื่ออื่นๆก็มีคนเอาไปใช้ก่อนหมดแล้ว Food Paradise, Yummy Food, Love Food, Food I Love, Delicious Food ไม่งั้นต้องเติมเลขหนึ่งสองสามตามหลังชื่อเพื่อไม่ให้ซ้ำใคร แต่มันดูเหมือนเป็นตัวสำรองยังไงไม่รู้

อิ่มมองไปนอกหน้าต่าง มองท้องฟ้าสีครามเข้มๆแดดสีทองปลั่งที่กระทบกับอาคารสำนักงานฝั่งตรงข้ามดูร้อนและดูมีพลังในคราวเดียวกัน อิ่มพยายามใช้จินตนาการให้กว้าง ให้ไกล นี่เธอกำลังทำอะไรอยู่ เธออยากได้อะไร อิ่มตอบตัวเองว่า เธอต้องการแค่พื้นที่เล็กๆเป็นของตัวเองเพื่อที่จะนำเสนออาหารอร่อยๆสวยๆและรีวิวในแบบของเธอ พื้นที่นำเสนอความอร่อยของอิ่มเอง เธอลองพิมพ์คำว่า FoodSpace หรือฟู้ดสเปซแบบเขียนติดกันหมดลงไป แล้วกดเช็คดู ปรากฎว่าชื่อนี้ว่าง สามารถใช้ได้และ ตรงตัว กระชับ เข้าใจได้ทั้งคนไทย ทั้งต่างชาติ อิ่มรีบบันทึกจับจองเป็นเจ้าของชื่อนี้ทันทีก่อนจะมีใครมาแซงหน้าไป

“เอาล่ะ ต่อไปนี้ ดิชั้นจะเป็น อิ่ม Food Space พื้นที่ความอร่อย แล้วนะคะคุณๆ” เมื่อได้ชื่อใหม่แล้วมีความหมายดี ตรงกับที่ใจต้องการแล้ว มีอินสตาแกรมแล้ว มีเฟสบุ๊คแล้ว จะเป็น food blogger ก็ต้องเขียนบล๊อกสินะ เอาล่ะ อิ่มใช้ชื่อ Food Space ในการสมัครสมาชิกเขียนบล๊อกฟรีตามเวบไซท์แล้วคิดคอนเซปก่อนว่า

บล๊อกแรกในชีวิตฟู้ดสเปซควรจะเขียนเกี่ยวกับอะไรดี ควรจะเป็นบทความเกี่ยวกับตัวตนและสไตล์ของฟู้ดสเปซเองกับการรีวิวหรือชิมอาหารนี่แหล่ะ เอาเป็นหัวข้อการเป็น Food Blogger ที่รีวิวแบบจริงใจดีกว่า ต้องเริ่มเขียนคำโปรยหัวบล๊อกหลักก่อนแล้วค่อยเขียนบทความ อิ่มนั่งพิมพ์คำโปรยทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษแบบสั้นๆกระชับ แล้วเริ่มเขียนบล๊อกแรกในชีวิตของอย่างคล่องแคล่ว ทุกตัวอักษรเหมือนจะไหลออกมาอย่างพรั่งพรูโดยที่เธอเองแทบไม่ต้องพยายามเค้นอะไรออกมาเลย นี่สินะที่คนเขาบอกว่าถ้าเราทำในสิ่งที่ชอบแล้ว มันก็จะเหมือนกับไม่ได้ทำงาน มันเป็นธรรมชาติและสนุกมาก เพียงครู่ใหญ่ๆอิ่มก็กดบันทึกบทความแรกของเธอแล้วอ่านอีกครั้งเพื่อทบทวนกับตัวเอง

เมื่อ "กินเพื่ออวด หรือกินเพื่ออร่อย" มาแทน คำถามเก่าๆที่ว่า "อยู่เพื่อกิน หรือ กินเพื่ออยู่" อิ่มเซฟและเลือกใส่รูปอาหารที่เคยถ่ายๆไว้เป็นภาพประกอบ บทความสั้นๆบทนี้อิ่มเขียนรวดเดียวจบ มันหลั่งไหลพรั่งพรูออกมาโดยที่อิ่มแทบไม่ต้องเค้นอะไรจากตัวเองเลย บล๊อกแรกในชีวิตเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทันทีที่อิ่มโพสบล๊อกนี้ออนไลน์ อิ่มก็จะกลายเป็นฟู้ดบล๊อกเกอร์เต็มตัวกะเขาจริงๆแล้ว

อิ่มอ่านทบทวนอีกรอบนึงแล้วพออ่านจบก็ยกสองมือขึ้นพนม สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดออกเสียงว่า “พุทโธ ธรรมโม สังโฆ สาธุ สิ่งศักดิ์สิทธิทั้งหลาย วันนี้ ลูกช้างได้ตั้งใจจะเป็น food blogger หรือคนรีวิววิจารณ์อาหารกับเขาอย่างจริงๆจังๆแล้ว และนี่คือการเขียนบล๊อกหรือบทความออนไลน์ครั้งแรกของลูกช้าง ขอให้ลูกช้างมาถูกทาง เจริญก้าวหน้าในการเป็นนักชิมนักวิจารณ์อาหาร ขอให้ประสบความสำเร็จเป็นที่ชื่นชอบของผู้คน และส่งผลให้วันนึงลูกช้างได้เป็น food blogger เต็มตัว ทำมาหากินเลี้ยงตัวเองได้ด้วยอาชีพนี้ด้วยเถิด” อิ่มยกมือขึ้นจบบนหัวเอามาลูบหัวสามทีเป็นเคล็ด แล้วยื่นมือไปกดปุ่ม “เผยแพร่สู่สาธารณะ” แล้วก็นำลิ้งค์ค์จากเวบหน้านั้นไปลงที่บัญชีของ FoodSpace ทั้งทางอินตาแกรมและเฟสบุ๊คเพื่อกระจายข่าวไปให้ผู้คนรู้จักเรามากขึ้น แล้วก็ไม่ลืมที่จะส่งลิ้งค์ไปให้แก๊งเพื่อน ส.อ.ให้ช่วยกันติชมและติดตามรวมถึงช่วยกระจายข่าวด้วย อิ่มนั่งพิงเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย

ยิ้มให้กับตัวเอง และมองไกลๆไปที่ท้องฟ้า แดดจัดๆสีทองร้อนแรงในยามแปดโมงกว่าๆในเช้าวันนี้ เหมือนจะมีพลังพิเศษอะไรบางอย่างที่ทำให้อิ่มรู้สึกสดชื่นและกระปรี้กระเปร่ากว่าทุกเช้าของหลายๆปีที่ผ่านมา

---------------------------------------

<<Previous อ่านตอนที่ 3 คลิ๊กที่นี่  <<       

>>Next อ่านตอนที่ 5 คลิ๊กที่นี่>>

Visitors: 43,354