ตอนที่7: ฟู้ดบล๊อกเกอร์เป็นอาชีพได้จริงๆด้วย A paid Food Blogger

<<Previous อ่านตอนที่ 6 คลิ๊กที่นี่ <<                                                                                      

>>Next อ่านตอนที่ 8 คลิ๊กที่นี่>>

ตอนที่7: ฟู้ดบล๊อกเกอร์เป็นอาชีพได้จริงๆด้วย A paid Food Blogger 

อิ่มหักพวงมาลัยรถอย่างช้าๆขณะที่กำลังจะเคลื่อนตัวออกจากรั้วของคอนโดมิเนียมที่พักอาศัยของเธอ ตอนนั้นเองเธอก็เห็นใบหน้าคุ้นๆของชายวัยกลางคนคนหนึ่งยืนยิ้มอยู่ตรงป้อมยามในมือถือข้าวของพะรุงพะรัง ไม่เหมือนวันทั่วๆไปที่เขามักจะดูเนี๊ยบ อิ่มรำพึงกับตัวเองเบาๆ “มาจริงๆด้วยแหะ” แล้วเคลื่อนรถไปเทียบข้างหน้าพร้อมกดปุ่มปลดล๊อกประตูแล้วกดกระจกรถลงแล้วยิ้มให้ชายหน้าตาคุ้นเคย

“สวัสดีค่ะพี่ดนัยเดช เชิญค่ะ” อิ่มผายมือเชื้อเชิญให้เขาเปิดประตูรถเข้ามานั่งซึ่งชายคนนั้นก็ไม่ได้ลังเลแต่อย่างใดหากแต่ปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย

“ขอบคุณมากนะครับที่ให้พี่ติดรถไปออฟฟิศด้วย” เขาพูดด้วยรอยยิ้มหลังจากนั่งจัดแจงข้าวของและคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย ยังไม่ทันที่อิ่มจะออกรถเขาก็ก้มลงหยิบอะไรในถุงที่ถือมายื่นให้อิ่ม

“วนิลาลาเต้หวานน้อยสำหรับอิ่มครับ” เขายื่นแก้วกาแฟยี่ห้อโปรดของอิ่มมาให้

“ขอบคุณค่ะพี่ดนัยเดช ไม่น่าต้องลำบากเลยนะคะ” เธอยิ้มและพูดปัดเป็นมารยาทแต่ก็รับกาแฟมาโดยดี เครื่องดื่มหอมๆอร่อยๆยามเช้ามีเหรอคนอย่างอิ่มจะปฏิเสธ อิ่มจิบกาแฟทันทีและมันยังอุ่นอยู่ อร่อยถูกใจมาก อิ่มยิ้มให้กาแฟ

“ไม่ลำบากเลยครับ ใต้คอนโดพี่มีร้านกาแฟนี้พอดี พี่ดีใจที่อิ่มชอบ เดี๋ยววันหลังเอามาให้อีก” เขายิ้มหวานให้จนเธอต้องหลบตา

“พี่ดนัยเดชมายังไงคะเนี่ย” อิ่มถามโดยที่ไม่ได้มองเขา ขณะเคลื่อนรถออกจากคอนโดมุ่งหน้าไปยังที่ทำงาน

“พี่นั่งวินมาเลยครับ เกร็งแทบแย่ไม่ให้กาแฟหก” อิ่มและดนัยเดชหัวเราะเบาๆ “อิ่มเรียกพี่ว่าแดนหรือแดนนี่ก็ได้นะครับ เพื่อนๆกับที่บ้านพี่ก็เรียกกันอย่างนี้ เรียกดนัยเดชแล้วพี่รู้สึกเหมือนโดนคุณครูเรียกเลย ดูจริงจัง” ชายหนุ่มพูดเสร็จแล้วหันามองอิ่มด้วยแววตาที่คาดเดาได้ยากพร้อมรอยยิ้มหวาน

“โอเคค่ะพี่แดน” อิ่มตอบพลางชำเลืองหางตาไปมองเขาเล็กน้อย ใบหน้ายาวได้รูปเกลี้ยงเกลา คิ้วเข้มๆหนาๆ รอยยิ้มหวานๆนี่ ก็มองเพลินดีเหมือนกันนะ

“น่ารักมากครับน้องอิ่ม ค่อยยังชั่วหน่อย” แดนตอบด้วยหน้าเปื้อนยิ้ม อิ่มหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาจิบอีก แต่รถคันข้างหน้าดันเบรกกระทันหันเธอจึงต้องเหยียบเบรกตาม กาแฟจึงกระฉอกเล็กน้อยเปื้อนมุมปากซ้ายของเธอ ยังไม่ทันที่อิ่มจะพูดหรือจะวางแก้วกาแฟอะไร มือใหญ่ๆนุ่มๆของผู้ชายข้างๆก็ยื่นมาพร้อมกับกระดาษทิชชู่ ซับกาแฟที่หกเปื้อนมุมปากนั้นในแทบจะทันที

“เรียบร้อยครับพี่ดูแลให้น้องอิ่มแล้ว” พูดเสร็จเขาก็รับแก้วกาแฟจากเธอมาวางใส่ช่องให้อย่างเรียบร้อยแล้วหันไปจิบกาแฟเอสเปรซโซ่กลิ่นเข้มของตัวเอง “ขอบคุณค่ะ” อิ่มกล่าวขอบคุณด้วยความรู้สึกที่ดีที่มีคนมาดูแล นานแค่ไหนแล้วที่เธอใช้ชีวิตอิสระและดูแลตัวเองลำพัง

“ข้างหน้ามีปั้มแวะเข้าไปจอดแป๊บนึงได้นะครับ เดี๋ยวพี่เปลี่ยนขับให้ อิ่มจะได้จิบกาแฟสบายๆได้ไงครับ” เขาพูดพลางชี้ไปข้างหน้า

“ไม่เป็นไรค่ะ อีกไม่ไกลมากก็จะถึงออฟฟิศแล้ว” อิ่มปฏิเสธ

“วนิลาลาเต้หวานน้อยเชียวนะครับ” เขามองหน้าเธอด้วยสายตาหยอกล้อ อิ่มกลอกตามองขึ้นสูง โดยไม่เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว หากแต่พยักหน้าช้าๆแล้วเลี้ยวรถเข้าไปจอดตามที่ผู้ชายคนข้างๆบอก ที่ไม่ได้พูดอะไรไม่ใช่เพราะอิ่มไม่พอใจเขา หากแต่เพราะจริงๆแล้วเจ็บใจตัวเองอยู่ว่าทำไมโดนล่อหลอกได้ง่ายเพียงเพราะกาแฟแก้วเดียวเนี่ย เขาสั่งให้ทำอะไรก็ทำ การขับรถไปทำงานวันนี้เป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับอิ่ม แทนที่จะได้เม้ามอยกับเพื่อนทางโทรศัพท์ก็มีคนตัวเป็นๆมานั่งชวนคุยไปตลอดทาง เป็นคุณนายได้นั่งจิบกาแฟเพลินๆไปจนถึงออฟฟิศ ก็แปลกดีไปอีกแบบนึง

 ----------------------------------------------

หลังจากที่เสร็จงานช่วงเช้าและไปพบลูกค้ารายหนึ่งมาแล้ว อิ่มใช้เวลาไม่นานขับรถข้ามเมืองมาหมู่บ้านโฮมออฟฟิศย่านเลียบทางด่วน เธอวนหาที่จอดรถอยู่นานสุดท้ายเมื่อเห็นที่ว่างก็พุ่งเข้าไปจอดอย่างเรียบร้อย เธอลงจากรถและเดินเข้าไปในโฮมออฟฟิศที่เป็นตึกแถวสามชั้นในย่านเลียบทางด่วนถนนรามอินทราเอกมัย ด้วยความรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เธอใช้ชีวิตตั้งแต่เรียนจบในบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ยักษ์ที่มีออฟฟิศหรูหราอยู่ย่านกลางใจเมืองมาโดยตลอด แต่ที่ทำงานที่นี่ดูสบายๆ ไม่หรูหราเอาเสียเลย อิ่มมาเร็วกว่าเวลาที่นัดหมายเพราะเมื่อเช้าทำงานเสร็จเร็ว เลยรีบขับรถมาเพราะกลัวรถติดเนื่องจากที่นี่อยู่คนละฟากกรุงเทพกับออฟฟิศหรูของเธอ

อิ่มกวาดตามองไปรอบๆล๊อบบี้ขนาดกระทัดรัด แล้วมองไปที่ป้ายชื่อบริษัทหลังเค้าเตอร์ที่ใช้ตัวอักษรฟ็อนท์แบบทีเล่นที่จริงสีสันสดใส นี่เป็นอีกโลกนึงที่อิ่มไม่เคยย่างกรายเข้ามา โลกของธุรกิจแบบศิลปินหน่อยๆวัยรุ่นนิดๆ แล้วเค้าหาเงินกันได้จริงๆใช่ไหม แล้วได้มากพอที่จะเลี้ยงพนักงานและสร้างความร่ำรวยให้เจ้าของได้จริงๆใช่ไหมออฟฟิศแบบนี้ พนักงานสองสามคนเดินเข้ามาในออฟฟิศพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน การแต่งตัวของทั้งสามคนทำให้อิ่มอดมองอย่างสังเกตไม่ได้ คนผู้ชายใส่เสื้อยึดสีดำกางเกงยีนส์สีเทาซีดขาดๆและรองเท้าผ้าใบเก่าๆสีขาวจนเทาไม่ใส่ถุงเท้า ผู้หญิงคนนึงใส่เสื้อไม่มีปกคอกว้างสีขาวมีลายแมวคิตตี้ตัวเล็กๆด้านหลังกับกระโปรงยีนส์สีฟ้าซีดสั้นเหนือเข่ารองเท้าเปิดส้น ผู้หญิงอีกคนใส่เสื้อโปโลสีส้มแป๋น กางเกงสามส่วนรองเท้าแต่ะ มีเพียงป้ายพนักงานที่ห้อยคอเท่านั้นที่ทำให้อิ่มมั่นใจว่าสามคนนี้ ทำงานที่นี่

“โห เค้าทำงานแต่งตัวกันสบายๆจริงๆแฮะ” อิ่มคิดในใจแล้วมองดูสภาพตัวเองที่ใส่แพ๊นท์สูทเต็มยศสีดำเข้มลายทางลงสีขาวเส้นเล็กๆ เสื้อข้างในเป็นผ้าลินินปนไหมสีครีม เงาแวววาว อิ่มสวมสร้อยทองคำขาวกับจี้คริสตัลรูปหัวใจ ใส่รองเท้าคัทชูยี่ห้อดังสีดำหนังแก้วแวววับ เข้าเซทกับกระเป๋าถือแบรนด์เนมใบละหลายสตางค์ เธอส่ายหน้าให้ตัวเอง

“นี่ฉันกลายเป็นป้าเลยนะเนี่ย ไปหาชุดหลังรถเปลี่ยนดีกว่า เปลี่ยนเป็นกางเกงยีนส์รองเท้าออกกำลังกายก็ยังดี” อิ่มเดินออกจากประตูโฮมออฟฟิศในใจก็คิดว่าจะเปลี่ยนมาใส่อะไรดี ประตูออฟฟิศเปิดออกอิ่มก็เดินสวนออกไปด้วยใบหน้าอันครุ่นคิดว่าจะแต่งตัวยังไงไม่ให้เป็นป้า

อิ่มก้าวเดินออกจากประตูแล้วความคิดของอิ่มก็ถูกทำให้หยุดชะงักลง เมื่อมีอะไรแข็งๆมาปะทะชนที่ตัวอย่างแรง เสียงดังปัก อิ่มมึนและเซ ดีที่คว้าเกาะประตูอีกข้างไว้ทัน ไม่อย่างงั้นคงล้มลงหงายเงิบ แม้ตัวจะไม่ล้มแต่กระเป๋าถือราคาแพงของเธอก็ลอยคว้างตกไปที่พื้นไม่เป็นท่า อิ่มรู้สีกเจ็บแปลบๆที่ไหล่ขวา

“อ่าว ขอโทษครับคุณ แหม เดินออกมาทำไมไม่ดูล่ะครับว่ามีคนกำลังจะเข้าไป เป็นอะไรมากรึเปล่าครับ” วัตถุสิ่งแข็งที่พุ่งชนอิ่มเมื่อครู่นี้สามารถพูดได้ด้วย หนอย อิ่มคิดในใจ

“อีตานี่เป็นใครหว่า มาชนฉันแล้วยังว่าฉันผิดอีก ไม่มีมารยาทไม่เป็นสุภาพบุรุษเอาซะเลย” อิ่มเงยหน้าขึ้นมองต้นเสียงอย่างเคืองๆ ตรงหน้าเธอคือชายหน้าเข้มวัยสามสิบกว่าๆ ใส่เสื้อลายทางลงสีกรมท่าสลับแดง แววตาเขาดูเหมือนจะรู้สึกผิดนิดหน่อย แต่กริยายืดตรงกอดอกนี่ไม่ได้ทำให้เธอเห็นว่าเขารู้สึกผิดแต่อย่างใด

“ไม่เป็นไรค่ะ โดนชนซะปลิวขนาดนี้ ดิฉันโอเค” อิ่มตอบตามมารยาทแกมประชดประชัน ทั้งๆที่ไหลขวายังเจ็บชาๆอยู่ พยายามทรงตัวให้ตรง

“นั่งก่อนครับ” วัตถุสิ่งแข็งพูดได้มาประคองให้อิ่มนั่งโซฟาใกล้ๆ เก็บกระเป๋าให้แล้ววางไว้ข้างๆตัวอิ่ม แล้วเค้ายืนมองอิ่มด้วยสีหน้าเอือมๆ

“นี่คุณเป็นเซลล์ขายเครื่องกรองน้ำ หรือมาขายประกันครับ แต่งตัวมาซะเต็มยศเลย ผมบอกไปทางโทรศัพท์แล้วไงเมื่อวันก่อนว่าตอนนี้ออฟฟิศเราไม่สนใจซื้ออะไรทั้งนั้น มีอะไรผมจะติดต่อไปทางส่วนกลางของบริษัทคุณเองครับ” เขากอดอกพูดเสียงห้วน

อิ่มเงยหน้า ค่อยๆมองตามเสียงวัตถุสิ่งแข็งนั้น ด้วยสายตาดุดัน คิดในใจว่า “อีตาบ้า ชนฉันเสียกระเด็นแล้วยังเห็นฉันเป็นเซลล์เคาะประตูตื้อขายของตามบ้านอีก ตาถั่วรึเปล่าชุดนี้ทั้งตัวราคารวมกันเกือบหมื่นบาทนะยะ ไม่นับกระเป๋า ไม่มีมารยาทแล้วยังตาไม่ถึงอีก” อิ่มจ้องเขาเขม็งขณะที่เขาก็จ้องเธอไม่เลิกเช่นกัน

“นี่คุณพูดให้ดีนะ ดิฉันมาประชุมค่ะ ไม่ได้มาขายของ มีนัดตอนบ่ายสองครึ่งค่ะ” อิ่มตอบด้วยเสียงที่พยายามปรับแล้วว่าให้ฟังดูไม่โมโหมากนัก มือก็จับไหล่ที่เจ็บอยู่

“อ่าว ขอโทษครับ คุณคงเป็นหนึ่งใน ฟู้ดบล๊อกเกอร์ที่เราเชิญมา แย่จริงๆเลย ผมนึกว่าคุณเป็นพวกตามตื้อขายของไม่เลิกรา” วัตถุสิ่งแข็งกล่าวขอโทษแบบห้วนๆ ยังไม่ทันที่อิ่มจะตอบอะไร เสียงผู้หญิงห้าวๆดังมาจากในออฟฟิศแล้วเจ้าตัวก็วิ่งออกตามเสียงออกมา ใส่เสื้อยืดโปโลสีขาวกางเกงยีนส์สีฟ้าซีดอีกแล้ว

“พี่อัค โอ๊ยไปไหนมา เร็วๆเข้าคุณวุธเจ้าของบริษัทเค้าโทรหาเนี่ยให้พี่โทรกลับด้วย” สาวเสียงห้าวพูดรัวใส่ อิ่มไม่เงยหน้ามองสองคนที่คุยกัน นั่งจับไหล่ที่เจ็บของตัวเองหวังว่าจะหายเจ็บในเร็ววัน อิ่มนึกในใจอายุเราก็ไม่น้อยแล้ว จินนี่เคยบอกว่าคนรุ่นเราอะไหล่เริ่มหายาก ต้องรักษาสุขภาพตัวเองให้ดี อีตาวัตถุแข็งพูดได้ชื่ออัค และกำลังจะซวยแน่เลย เจ้านายตามจิกล่ะสิ หนีไปลั๊ลลาที่ไหนมาล่ะ แย่แล้วนายอัคเอ๋ย สงสัยมีชื่อจริงว่าอัคนีที่แปลว่าหิน ตัวถึงได้แข็งเที่ยวชนใครเค้าไปทั่ว

“อ่าวรุ่ง พี่มาถึงนานแล้วแต่มีคนมาจอดรถในที่ของพี่ เลยต้องวนหาที่จอดใหม่อยู่เป็นสิบนาทีเลย ไม่รู้ใครไม่มีมารยาทเลย ไม่เห็นป้ายเหรอว่าเค้ามีทะเบียนสำหรับรถทะเบียนนั้นๆคันเดียว คันอื่นจอดไม่ได้” เขาเล่าอย่างหัวเสีย

“อ่าวเหรอ พี่อัค ให้รุ่งส่งคนไปกรีดรถมันเลยไหม?” รุ่งพูดด้วยท่าทีจริงจัง

“บ้า อย่านะ หาตัวให้เจอแล้วให้เค้าไปย้ายรถละกัน นิสัยไม่ดีเลยคนสมัยนี้ รถเอชอาร์วีสีเงิน ทะเบียน 2227” อัคบอกลูกน้องด้วยเสียงที่ดังฟังชัด อิ่มเงยหน้าจากการจับไหล่ที่เจ็บแปลบๆ มองทั้งสองคนที่ยืนพูดกัน

“อ่าว นั่นรถฉันค่ะ ตรงนั้นจอดไม่ได้เหรอคะ? ตอนฉันมาไม่เห็นมีป้ายอะไร” อิ่มพูดแทรกขึ้นมา

“อ่าว จะไม่มีได้ไงคุณ มันก็ติดอยู่ประจำอ้ะ” อัคทำเสียงเคือง

“อ่อ พี่อัค พี่วินเค้ามาเอาป้ายไปทาสีใหม่เมื่อเช้าอ้ะ คงไม่มีป้ายแป่ะตอนคุณเค้าเข้ามาจริงๆ”รุ่งอธิบาย

“เดี๋ยวฉันไปย้ายให้ค่ะ” อิ่มอาสาและทำท่าจะลุกขึ้นยืนทั้งที่มือยังกุมไหล่ไว้ “ไม่เป็นไรครับ วันนี้คุณเป็นแขกของเรา และเพื่อเป็นการขอโทษที่ผมเดินให้คุณมาชนเมื่อกี๊ ผมให้คุณจอดรถในที่ของผมได้ครับ แล้วอีกอย่างคุณก็ไม่ได้จะจอดนานอะไร ประชุมฟู้ดบล๊อกเกอร์เสร็จก็ไม่เกินชั่วโมงนึงครับ ขอตัวนะครับ เดี๋ยวรุ่งจะดูแลคุณต่อเอง” อัคหันหลังจะเดินเข้าในออฟฟิศ

“อ้อ พี่คือหนึ่งในบล๊อกเกอร์เหรอคะ ไม่ทราบจากบล๊อกไหนคะ?” รุ่งหันมาถามอย่างอารมณ์ดี

“FoodSpace ค่ะ” อิ่มตอบอย่างยิ้มแย้มตอบไปเช่นกัน

“อ้อออ คุณอิ่มมะ นั่นเอง สวัสดีค่ะ นี่รุ่งเองนะคะ” รุ่งพูดลากเสียงยาวแล้วยิ้มกว้างให้

“คุณอิ่มมะมาก่อนเวลาเยอะเลยนะคะ รุ่งชอบชื่อคุณอิ่มมะตั้งแต่ตอนคุยโทรศัพท์กันแล้วค่ะ เชิญทางนี้ค่ะ เข้าไปนั่งในห้องประชุมได้เลยค่ะ” รุ่งทำท่าชี้ชวนให้อิ่มเดินไปทางห้องประชุม อัคหันหลังกลับมาทันทีแล้วมองอิ่มอีกครั้งอย่างเต็มตา ทันใดนั้นก็มีรอยยิ้มปรากฎที่มุมปากของเขา สายตาที่มองไปที่อิ่มอธิบายได้ยากว่ามีความหมายว่าอะไร อัคหันกลับไปเดินเข้าไปในออฟฟิศแล้วมุ่งหน้าไปที่ห้องทำงานของตัวเอง

ในขณะที่อิ่มเดินตามรุ่งไปที่ห้องประชุม ระหว่างทางผ่านโต๊ะทำงานของพนักงาน อิ่มกะด้วยตาคร่าวๆตรงส่วนนี้น่าจะมียี่สิบกว่าคน คงจะมีนั่งที่ชั้นอื่นอีก ทุกคนแต่งตัวสบายๆ อิ่มคิดในใจเสื้อผ้าอะไรไม่เปลี่ยนแล้วนะ อารณ์เสีย จะเรียกป้าก็เรียกไป ฉันมืออาชีพย่ะ

“คุณอิ่มมะ นั่งรอในนี้สักครู่นะคะ เดี๋ยวแม่บ้านเอาน้ำมาให้ เราจะประชุมกันในห้องนี้แหล่ะค่ะ” สาวร่างบางบอกทันทีที่พาอิ่มมาถึงห้องประชุมรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว

“ขอบคุณค่ะ แต่ว่าฉันชื่ออิ่มค่ะ อิ่มเฉยๆค่ะ ไม่ใช่อิ่มมะ” เธอพยายามแก้คำผิดให้อย่างสุภาพ

“อ่าวตายแล้ว ขอโทษค่ะ วันนั้นทางโทรศัพท์รุ่งได้ยินว่าคุณชื่ออิ่มมะจริงๆ แล้วก็ไปบอกคนทั้งออฟฟิศแล้วด้วยว่ามีบล๊อกเกอร์ชื่ออิ่มมะ แห่ะๆ ยังคิดอยู่ว่าเป็นชื่อญี่ปุ่นรึเปล่า เดี๋ยวไปแก้ข่าวให้นะคะ คุณอิ่ม” แล้วเธอก็เดินออกไปทิ้งให้อิ่มนั่งอยู่ในห้องประชุมคนเดียว อิ่มหยิบโบรชัวร์บนโต๊ะประชุมมาอ่านดูข้อมูลของบริษัท สิ่งที่เห็นทำให้เธอแปลกใจว่า บริษัทนี้เพิ่งตั้งมาได้ปีเดียว เริ่มต้นจากพนักงานไม่ถึงสิบคน เป็นธุรกิจอินเตอร์เนทใหม่ที่เกิดจากไอเดียใหม่ๆที่ฝรั่งเรียก start up business ผลประกอบการณ์โตขึ้นไตรมาสละ 75% เฮ้ยยยย อิ่มลืมตัวอุทานออกมาเสียงดัง ปีนึงโตขึ้น 300% ไม่ใช่ธรรมดาละ ผู้บริหารนี่ท่าทางจะฝีมือดี

มีคนค่อยๆทยอยกันเข้ามานั่งในห้องประชุมมากขึ้นเรื่อยๆ อิ่มยิ้มทักทายและสวัสดีคนที่เข้ามาใหม่อย่างเป็นมิตร ทุกคนนี่เป็นคนรีวิวอาหารหมดเลยเหรอนี่ หน้าตาบางคนไม่ให้เลยแหะ เอ แล้วหน้าตาเราให้หรือเปล่านะ อิ่มมองคนนู้นคนนี้แล้วคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไป

“สวัสดีครับ Food Blogger ทุกท่าน” เสียงคุ้นๆลอยเข้าประตูห้องประชุมมา อีตาหินอัคนี วัตถุสิ่งแข็งพูดได้นี่เองนึกว่าใคร

“ผมอัครพล ผู้จัดการทั่วไป ของ Easy Reservation ยินดีตอนรับทุกท่านและขอบคุณที่ให้เกียรติมาร่วมงานกับเรานะครับ เรียกผมสั้นๆว่าอัค ก็ได้นะครับ” เขาพูดจาฉะฉานดูมั่นใจและยิ้มแย้ม อิ่มคิดในใจ คนอะไรชื่อจริงเชยซะไม่มี อีตาหินอัคนีเป็นถึงผู้บริหารของบริษัท มิน่าถึงมีที่จอดรถประจำเป็นของตัวเอง ในห้องประชุมขนาดกลางๆมีคนนั่งเต็มโต๊ะยาวราวยี่สิบกว่าคน รุ่งเดินแจกเอกสารให้ทุกคน อิ่มมองอีตาหินอัคนีที่ตอนนี้รู้แล้วว่าชื่ออัครพล

“ถึงจะยังมากันไม่ครบนัก แต่ถึงเวลาแล้วผมว่าเรามาเริ่มกันเลยดีกว่านะครับ เอกสารที่คุณรุ่งกำลังแจกจ่ายให้ทุกท่านนั้นเป็นข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับบริษัทของเราครับ เราทำธุรกิจที่ตรงๆง่ายๆคือดูแลระบบ เวบไซท์รวมถึงแอ๊พพลิเคชั่นทางอินเตอร์เนท ที่เรียกสั้นๆว่าแอ๊พฯ ในการจองร้านอาหารทั่วราชอาณาจักรไทย รวมถึงการจัดโปรโมชั่นร่วมกับร้านอาหารต่างๆทำบัตรเว้าเช่อร์ในราคาพิเศษเพื่อจูงใจให้ลูกค้าไปรับประทานอาหารที่ร้านนั้นๆ โดยจองโต๊ะผ่านแอ๊พฯของเรา”

“ทีนี้เพื่อเป็นการโปรโมตทั้งร้านอาหารที่เป็นพันธมิตรกับเราและโปรโหมตแอ๊พฯของเราด้วย เราจึงเชิญบล๊อกเกอร์ทุกท่านซึ่งมีแฟนเพจเป็นของตัวเองแล้วมาชิมและรีวิวอาหารที่ร้านอาหารที่เราแนะนำครับ โดยขอให้ทุกท่านไปลงรีวิวในบล๊อกหรือเพจของตัวเองตามสไตล์ของท่านได้เลย เราอาจจะมีคีย์เวิร์ดให้สองสามคำ หรือ ประโยคหลักให้หนึ่งประโยค ที่เหลือเชิญบล๊อกเกอร์ทุกท่านเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่ครับ คุณนุ้ยจะแจ้งรายละเอียดในส่วนถัดไปครับ” อัคผายมือไปที่รุ่ง

“สวัสดีค่ะทุกท่าน รุ่งขอเสริมเรื่องค่าตอบแทนนะคะ นโยบายของบริษัทเราเป็นไปตามที่คุณอัคได้บอกไปแล้วนะคะคือ เชิญบล๊อกเกอร์เขียนรีวิวได้ตามความพอใจในสไตล์ของท่านเอง แต่ขอความยาวไม่ต่ำกว่า 500 คำและรูปไม่ต่ำ 2 รูปต่อหนึ่งบทความนะคะ ค่าตอบแทนเริ่มตั้งแต่ 500 บาทต่อหนึ่งบทความ โดยลิขสิทธ์ทั้งของบทความและรูปจะถูกแบ่งเป็นของทั้งผู้เขียนคือนักรีวิวเองและบริษัทเราคนละครึ่งนึงค่ะ แปลว่าถ้าในอนาคตมีใครมาขอซื้อรูปหรือบทความต่อ เราก็จะแบ่งรายได้กันกับท่านคนละครึ่งค่ะ” รุ่งอธิบายฉะฉาน

อิ่มมีคำถามในใจ และคิดหนักอยู่ว่าถ้ายกมือขึ้นถามขัดจังหวะที่อัครพลพูด ที่บริษัทไทยๆอย่างนี้เค้าจะว่าอะไรไหม จะหาว่าไม่มีมารยาทไหม ถ้าเป็นที่ทำงานของอิ่ม เวลาประชุมกันฝรั่งอยากจะถามคำถามหรือพูดแทรกตอนไหน แค่ยกมือแล้วถ้าคนนำประชุมให้พูดก็พูดได้เลย ไม่ต้องรอให้ใครซักคนพูดจนจบก่อน เอาไงดีหว่าถามดีไหม ถ้าเป็นที่ทำงานของอิ่ม อิ่มจะไม่ลังเลเลยพอมาเข้าวงการใหม่ๆ รู้สึกตัวเองเป็นเด็กใหม่จะทำอะไรก็ต้องค่อยๆคิดมองซ้ายมองขวาให้ดั ความประหม่าทำให้อิ่มไม่รู้ตัวเลยว่าขณะที่เธอถามคำถามกับตัวเองและคิดอยู่กับตัวเองอยู่นั้นร่างกายของเธอทำท่าขมวดคิ้ว หรี่ตา เม้มปาก เอาปากกาจิ้มหัว ไปพร้อมๆกัน อัครพลมองมาทางอิ่มเห็นอากัปกริยาแปลกประหลาดก็ชะงัก

“คุณอิ่มมะมีอะไรจะถามหรือเปล่าครับ เชิญเลยครับ” เขาพูดและมองมาที่เธอ

“ฉันเหรอคะ” อ่าวตาหินอัคนีรู้ได้ไงว่าฉันอยากจะถามนะ อัครพลพยักหน้าให้เป็นสัญญาณว่า ให้อิ่มพูดได้เลย อิ่มพนักหน้าตอบ

“ค่ะ คือสวัสดีค่ะทุกท่าน ฉันชื่ออิ่ม อิ่มเฉยๆไม่ใช่อิ่มมะนะคะ ฉันเป็นบล๊อกเกอร์มือใหม่ค่ะ เพิ่งเริ่มทำอินสตาแกรมของตัวเองได้ไม่กี่เดือนชื่อ FoodSpace ค่ะ ฝากตัวด้วยนะคะ” อิ่มพูดไปยิ้มไปและกวาดตามองไปที่ทุกคนรอบห้อง หลายคนพยักหน้าให้และยิ้มตอบ แต่อีกหลายคนก็ไม่มองหน้าอิ่มเสียด้วยซ้ำ

“คำถามของอิ่มคือ ที่คุณผู้จัดการบอกว่าให้เขียนรีวิวแบบเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่นี่คือ ถ้าอาหารมันไม่อร่อยเอาเสียเลย เราก็ไม่ต้องไปโกหกว่ามันอร่อยมากใช่ไหมคะ” สิ้นเสียงของอิ่ม บล๊อกเกอร์หลายๆคนพยักหน้ากันหงึกหงัก มีเสียงฮึมๆ คุยกันเบาๆรอบห้อง ก่อนที่จะมีเสียงขัดขึ้นมาว่า

“แหม มือใหม่จริงๆด้วยสินะครับ จะไหวเหร๊อ” เสียงผู้ชายที่ดัดการออกเสียงให้เหมือนผู้หญิงอย่างหนักเปล่งออกมาอย่างดูแคลนจากชายร่างท้วมวัยกลางคนค่อนไปทางปลายคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะฝั่งตรงข้ามกับอัครพล เขาสวมเสื้อเชิ้ตเวอร์ซาเช่สีขาวลายเมดูซ่าสีทองขลิบน้ำเงิน เสื้อผ้าไหมทิ้งตัวเงาแวววาว แหวนเพชรวงโตที่เขาใส่มือละสองสามวงน้นทำให้อิ่มแสบตานิดหน่อยตอนหันไปมองตามเสียง อิ่มคิดในใจ พ.ศ.นี้ยังมีคนแต่งตัวอย่างกับเสี่ยคาเฟ่หลงซอยอย่างนี้อีกเหรอเนี่ย แล้วสภาพนี้เป็นคนรีวิวอาหารเป็นฟู้ดบล๊อกเกอร์เนี่ยนะ แต่ก็คงเป็นไปได้เพราะหุ่นกลมแน่นและพุงที่ล้ำหน้าออกมาจนเสื้อเชิ้ตตึงนี่ แสดงว่าคงกินมาเยอะแล้วในชีวิตนี้ คำพูดที่ดูมั่นใจและน้ำเสียงผยองๆอย่างนี้ ตลอดจนเสื้อผ้าหน้าผมที่ไม่แคร์สายตาใครอย่างนี้ ทำให้อิ่มอดคิดไม่ได้ว่าเค้าเป็นใครนะ “

คือทุกท่านครับ ผมต้องขอโทษที่ยังไม่ได้ให้ทุกท่านแนะนำตัวกันเลย มาถึงผมก็ใส่เอาๆ อีกซักครู่ผมจะเชิญให้ทุกท่านแนะนำตัวกันนะครับ รบกวนทุกท่านบอกชื่อของคุณและชื่อของเพจคุณด้วยเหมือนที่คุณอิ่มบอกเมื่อซักครู่นี้นะครับ จะได้รู้จักกันไว้คนในวงการเดียวกันทั้งนั้น จะได้ไม่ทับไลน์กันครับ” อัครพลกล่าวติดตลก ทำให้บรรยากาศในห้องผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง

“ครับพี่อี๊ด ในฐานะที่พี่อี๊ดอาวุโสที่สุด เชิญก่อนเลยดีกว่า มีอะไรจะแนะนำบล๊อกเกอร์รุ่นใหม่ๆบ้างครับ เชิญเลยครับ” อัครพลผายมือไปยังอีตาเวอร์ซาเช่ที่อิ่มอยากจะเรียกว่า ลุงเว่อร์ คนนั้น

“ยินดีคุณอัค” ลุงเว่อร์ขยับตัวนิดๆ มองไปรอบห้องดูว่าทุกคนตั้งใจจะฟังเค้าหรือยัง พอได้ที่แล้วก็พูดต่อ “ผมอี๊ด ชื่อแอ๊คเค้าท์ผมคือ Eat Today” เสียงหือหาดังขึ้นรอบๆห้องประชุม อิ่มตาโต โอ้โห ลุงเว่อร์คนนี้คือ อีททูเดย์ อินตาแกรมเจ้าใหญ่ยักษ์มีคนตามเป็นแสนๆ เฟสบุ๊คก็ทำ รู้สึกจะมีเวบไซท์ด้วย เพิ่งเคยเห็นหน้าตาเนี่ย ลุงพี่อี๊ดขยับนั่งตัวตรงแล้วพูดต่อ

“Eat Today ของผมตอนนี้ในอินสตาแกรมมีคนตามอยู่ราวๆห้าแสนคน จากทั่วโลก ผมไปเป็นแขกรับเชิญรายการทีวีอยู่บ่อยๆ ผมชิมและรีวิวอาหาร มามากกว่าสิบห้าปีแล้ว ผมค่อนข้างกว้างขวางในแวดวงอาหารและการชิม ผมรู้และเห็นอะไรมาเยอะ แบบที่พวกมือใหม่ มีแฟนเพจแค่หลักร้อยหลักพันคงไม่เข้าใจ”

อิ่มมองหน้าพี่อี๊ด พลางคิดในใจ อ่าว ด่าเรานี่หว่า ก็เพราะมือใหม่ไงคะลุงหนูถึงขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยเนี่ย มากระแนะกระแหนอะไรเรานักหนาเนี่ย

“พี่อี๊ดว่านะครับ เราต้อง compromise ระหว่างสิ่งที่ร้านอาหารซึ่งเป็นลูกค้าของเราอยากให้เราเขียนหรืออยากให้เราพูด กับสิ่งที่เราคิดจริงๆด้วย ไม่งั้นใครจะมาจ้างเรา” อี๊ดพูดจบ นั่งพิงพนักเก้าอี้ ยิ้มมุมปากแล้วหัวเราพแค่นๆ บล๊อกเกอร์หลายคนก็พลอยหัวเราะตาม

“ร้านอาหารจ้างเรารีวิวเหรอคะ อิ่มนึกว่าเราเป็น นักรีวิวอิสระแบบ independent blogger เขียนเพื่อเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคมากกว่าทำเพื่ออวยเจ้าของร้านอาหารซะอีก” อิ่มพูดสวนไปโดยไม่ทันได้คิดหน้าคิดหลัง

“อุดมการณ์อะไร มันกินไม่ได้หรอกนะหนู เห็นมาเยอะแล้วพวกอุดมการณ์ แต่ก็เห็นไปได้ไม่กี่น้ำนะ ไม่เห็นจะอยู่ในวงการยืดยาวซักคน” ลุงพี่อี๊ดหันมาพูดใส่หน้าอิ่มอย่างเหยียดๆ อิ่มจ้องกลับไปที่พี่อี๊ดอย่างไม่เกรงกลัว แบบใครแบบมัน จะให้ทำตามลุงชมของรสชาติห่วยๆว่าอร่อยๆออกสื่อเนี่ยนะ ฝันไปเหอะ ฉันเงียบๆไปไม่รีวิวเลยซะจะดีกว่า ยังให้เกียรติร้านเค้ามากกว่าจะโกหกลูกเพจ

“เอาล่ะครับๆ ผมว่าเรามาแนะนำตัวกันต่อตอนทานชากาแฟดีกว่านะครับ จะได้สบายๆเป็นกันเองดีครับ” อัครพลพูดในขณะที่รุ่งพาแม่บ้านยกกาแฟและขนมเบรกบ่ายเข้ามาเสิร์ฟ

“ผมยืนยันตรงนี้ได้ในฐานะบริษัทว่า เราเปิดกว้างครับ บล๊อกเกอร์ท่านใดอยากจะเขียนรีวิวแบบไหนก็ได้ครับ ตามสไตล์ของท่านครับ ไม่ต้องกังวล เชิญครับเชิญรับชากาแฟและขนมกันก่อน” อัครพลหันมามองอิ่มและยิ้ม

นี่เค้าเลี่ยงการเผชิญหน้าเพื่อช่วยเราหรือว่าเค้าแค่อยากให้การประชุมมันดำเนินต่อไปโดยที่ฉันไม่ลุกขึ้นก่อเหตุฆาตกรรมอีตาลุงเว่อร์ เวอร์ซาเช่พุงคับนั่นกันแน่ คิดแล้วอิ่มก็อดเคืองไม่ได้แต่ก็ฉุดคิดขึ้นมาได้ว่า เรามาที่นี่ทำไม มาเพื่อจะได้ทำในสิ่งที่เราชอบไม่ใช่หรือ แค่คนหลงตัวเองคนนึง เราต้องไม่ปล่อยให้เค้ามาทำงานใหญ่เราเสีย อิ่มคิดได้อย่างนั้นจึงยิ้มให้ตัวเองอย่างคนปลงได้ แล้วนั่งคนกาแฟตรงหน้าเบาๆ ไม่แหงนมองอะไร ใครอยากพูดอะไรก็พูดไป เสียงช้อนกระทบแก้วกาแฟดังเบาๆทั่วห้องประชุม จากหนึ่งเสียงค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กาแฟและขนมว่างถูกเสิร์ฟให้เกือบครบทุกคนในห้องประชุมแล้ว

“เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมขออนุญาตเชิญทุกท่านคุยไปรับประทานของว่างไปเลยนะครับ เชิญท่านต่อไปแนะนำตัวเลยครับ” อัคผายมือเชิญเด็กวัยรุ่นคนนึงในเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวและกางเกงสแลคสีดำ

“ครับ หวัดดีครับ ผมพีทจากเพจ DakNow ครับ แล้วนี่เพื่อนผมอีกสองคน พวง กับ เพลิน เป็นแอดมินเพจด้วยกันครับ” น้องผู้ชายหน้าเด็กมากกล่าวทักทายขึ้นมา

“ซาหวัดดีค่า หนูพวง DakNow ค่ะ” น้องผู้หญิงหน้าหมวยตัวอ้วนกลม ยิ้มตาหยีพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้คนทั้งห้องแบบหมุนเป็นวงกว้างคล้ายที่นักมวยชอบทำเวลาต้องการไหว้คนเยอะๆในคราวเดียว ผมของน้องพวงหยิกยาวฟูเล็กน้อย มัดรวบผมไปด้านหลังแบบลวกๆแลดูเป็นพวงๆคล้ายๆชื่อของเธอ หน้าตาไม่ได้แต่งแต้มสีสันอะไรมาก ใส่ชุดนักศึกษามาเลย เป็นเด็กวัยสดใสกันจริงๆ อิ่มมองน้องพวงแล้วแอบคิดในใจ ครั้งล่าสุดที่เธอสดใสเป็นธรรมชาติอย่างนี้มันกี่ปีมาแล้วนะ

“หวัดดีค่า หนู เพลิน DakNow ค่ะ” เสียงใสๆดังขึ้นมากระทบหูของอิ่มจนต้องบอกตัวเองให้หยุดคิดเรื่องอดีตฟุ้งซ่ายและมาจดจ่ออยู่กับปัจจุบันนี่ก่อน อิ่มละสายตาจากน้องพวง ไปมองน้องเพลินที่นั่งถัดมา ตรงข้ามกับน้องพวงหน้าใสตัวกลมเมื่อครู่นี้ น้องเพลินหน้ายาวแก้มตอบ ตัวผอมบางจนเห็นกระดูก อิ่มอดจ้องไปที่น้องเพลินไม่ได้ เป็นคนรีวิวอาหารทำไมผอมได้ขนาดนี้

“อายุเท่าไหร่กันแล้วหนู แล้วแฟนเพจเยอะรึยัง กี่พันแล้วล่ะ” เสียงผู้ที่เรียกตัวเองว่าผู้กว้างขวางในวงการรีวิวอาหารถามดังมาจากหัวโต๊ะด้านในห้อง

“พวกเราอายุ สิบเก้าปี และเรียนหนังสืออยู่ที่คณะเดียวกันครับ เราทำเพจมาปีกว่าแล้ว ตอนนี้มีคนติดตามอยู่ห้าหมื่นกว่าคนครับ” พีทตอบแทนเพื่อน

ทั้งห้องมีเสียงหือหา น้องๆรวมทีมกันทำเพจอาหารขึ้นมาทั้งทียังเรียนหนังสือกันอยู่ มีคนติดตามหลายหมื่นคนแล้วด้วย เยอะกว่าอิ่มเกือบสิบเท่า อิ่มได้แต่บอกตัวเองว่า อย่างงี้ฉันต้องขยันมากขึ้นอีกสิบเท่าสินะ

“พอใช้ได้ๆ” เสียงตาเว่อร์ซาเช่คับพุงพึมพำดังมาจากหลังห้อง อิ่มหันไปมองด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรนัก จะดูถูกคนอื่นไปถึงไหน ของฉันมันมีคนติดตามเป็นหลักพันจะมาดูถูกกันก็พอจะเข้าใจ แต่นี่น้องๆเค้ามีคนติดตามตั้งห้าหมื่นกว่าคน มันมากกว่าแค่ใช้ได้แล้วน่ะ นี่ยิ่งได้มาทำงานกับบริษัทนี้ด้วยก็ได้เงินอีก มันไม่ใช่แค่ใช้ได้ สำหรับเด็กอายุสิบเก้านี่มันเจ๋งมากๆต่างหาก ผ่านไปสิบห้านาทีทุกคนก็แนะนำตัวเสร็จ แต่ละคนมีที่มาที่ไปหลากหลายมาก อิ่มไม่ค่อยได้ฟังว่าคนหลังๆมีอะไรพิเศษกว่าคนอื่นๆ เพราะมัวแต่พยายามหันหน้าไปทางไหนก็ได้ที่จะไม่ต้องไปเจออีตาพี่อี๊ดจอมกร่าง

“เอาล่ะครับ สำหรับการประชุมแนะนำโครงการและทำความรู้จักกันเบื้องต้นในวันนี้ก็จบลงเพียงเท่านี้นะครับ ขอบคุณมากที่ให้เกียรติมาร่วมงานกับเราครับ แล้วทางเราจะติดต่อกลับไปเชิญ blogger แต่ละท่านตามรายละเอียดที่ให้ไว้เพื่อเชิญไปรีวิวอีกทีครับ ถ้ามีคำถามอะไร ติดต่อคุณรุ่งหรือผมได้ตลอดเลยนะครับ” อัคพูดสรุป เสียงปรบมือดังเปาะแปะพอเป็นมารยาท แล้วทุกคนก็ลุกขึ้นทยอยเดินออกจากห้องไป

อิ่มลุกขึ้นช้ากว่าเพื่อนเพราะในใจมีเสียงนางมารกับนางฟ้าเถียงกันอยู่ดังก้องในหัว เสียงนางมารในหัวดังขึ้นมาว่า

"เป็นบล๊อกเกอร์อาหารเขียนรีวิวอะไรนี่ มันก็น่าสนุกดีแต่จะไปพอกินอะไร ต่อให้ทำงานเต็มเวลาเป็นอาชีพหลัก เขียนรีวิวเกือบตายก็มีรายได้แค่เดือนละไม่กี่หมื่นบาท จะผ่อนรถผ่อนคอนโดไหวหรือเปล่ายังไม่รู้เลยแล้วจะเอาอะไรกิน เงินเก็บคืออะไรคงไม่รู้จัก” อิ่มลังเลและคิดในใจว่านั่นสิ อาชีพอย่างนี้มันคงมีเงินเหลือเฟือได้ยากนะ

“อย่าเพิ่งคิดมากสิอิ่ม เรายังมีรายได้หลักจากงานประจำของเราอยู่ไง นี่เป็นแค่ก้าวแรกๆของการเปิดโลกใหม่มาสู่สิ่งที่เราชอบ เรายังไม่ได้รีวิวอาหารเพื่อหารายได้หลักเลี้ยงชีวิตนะ ตอนนี้เอาแค่ให้ได้ทำก่อน แล้วค่อยมองซ้ายขวาหาลู่ทางขยับขยายในอนาคตได้” เออ จริง อิ่มตอบตัวเองในใจ ไม่เห็นต้องไปคิดอะไรมากเลย ณ วันนี้ มันคืองานอดิเรกที่เราชื่นชอบ ได้กินฟรีได้ตังค์ค่ารถค่าขนมนิดหน่อย อีตาเวอร์ซาเช่คับพุง ยังดูมีตังค์ได้เลย มันต้องมีหนทางต่อยอดได้แหล่ะน่า แต่ว่าตอนนี้ก่อนจะไปต่อยอด เราก็ต้องสร้างฐานให้มันมั่นคงแน่นหนาก่อน

อิ่มเดินออกจากประตูบริษัทเป็นคนสุดท้ายในบรรดาบล๊อกเกอร์ มองไปที่จอดรถซึ่งเธอไปจอดแทนนายอัคเอาไว้ อิ่มรู้สึกผิดนิดๆ อย่างไรเสียวันนี้เขาก็ช่วยเธอเอาไว้กลายๆ หญิงสาวยืนคิดอยู่ครู่สั้นๆแล้วเดินกลับเข้าไปในออฟฟิศตั้งใจจะมาขอโทษเขา ขณะที่อิ่มเอื้อมมือจะไปเปิดประตูก็มีคนเปิดประตูมาจากด้านในอย่างแรง ดีที่อิ่มถอยหลบได้ทัน ประตูบริษัทนี้ท่าทางจะไม่ถูกโฉลกกับเธอหรือไม่ก็เป็นเธอที่ไม่ถูกโฉลกกันมัน

“ขอโทษครับเป็นอะไรรึเปล่าครับคุณอิ่ม” อัครพลนั่นเองที่ก้าวออกมาตามประตูที่เปิดออก

ไม่เป็นอะไรค่ะ คราวนี้โชคดี ฉันหลบทัน แหม ใจคอจะชนฉันทั้งขามาขากลับเลยเหรอคะ” อิ่มถามกวนๆ

“ผมขอโทษจริงๆครับ ผมไม่ได้ตั้งใจเลยฟิลม์ที่ประตูมันมืดเกิน ผมก็มองไม่เห็นอีกฝั่งนึงเลย” อัคอธิบาย

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณไม่ได้ตั้งใจ อ่อ แล้วขอบคุณนะคะที่ช่วยฉันไว้ในห้องประชุมเมื่อครู่นี้” อิ่มกล่าวขอบคุณ

“ยินดีครับ พี่อี๊ดแกก็เป็นแบบนี้แหล่ะครับ ผมยังทั้งดีใจและแปลกใจที่แกยอมมาร่วมงานกับแอ๊พฯเล็กๆอย่างเรา คุณอิ่มอย่าเพิ่งท้อนะครับ” อัคพูดให้กำลังใจ

“ค่ะ ไม่ท้อ แต่ฉันแค่งงว่า ค่าเขียนรีวิวบทความละ 500 บาทเนี่ย ทำให้ลุงเค้ามีตังค์ซื้อเสื้อเว่อร์ซาเช่สีขาวคลิบทองเงาแวววาวอย่างงั้นได้ยังไงกัน นั่นยังไม่นับรวมกับอีกคำถามนะคะว่ายุคนี้ยังมีคนเค้าใส่เสื้อแบบนี้กันอยู่อีกเหรอ” อิ่มพูดจบแล้วก็ขำหัวเราะเสียงดัง อัคพลอยหัวเราะร่วมไปด้วย

“เรื่องราคาค่าเขียนห้าร้อยบาทบวกค่ารถนี่เป็นค่าเขียนรีวิวของบล๊อกเกอร์หน้าใหม่ครับ ถ้ามีประสบการณ์และผลงานมากขึ้น เรียกว่าเก๋าๆหน่อย อัตราราคาก็ปรับขึ้นตามไป ตามฝีมือและจำนวนผู้ติดตาม” อัคอธิบาย

“อ่อ อย่างงี้ถ้าหน้าใหม่อย่างฉันเขียนทุกวัน วันละตอนก็ได้เงินเดือนละ หนึ่งหมื่นห้าพันบาทน่ะสิคะ โห จะพอกินพอมีเหลือเก็บได้ยังไงคะ” อิ่มพูดหน้าหงิก

“ก็เวลาไปรีวิวก็กินฟรีอยู่แล้วนี่ครับ” อัคพูดจบแล้วหัวเราะเสียงดัง พอมองมาเห็นหน้าอิ่มที่ยังหน้าหงิกอยู่ อัคก็หยุดหัวเราะแทบไม่ทัน

“ฟรีแค่วันละมื้อเนี่ยนะคะ ที่เหลือล่ะคะ ไหนจะค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ ค่าน้ำมัน ค่าโทรศัพท์ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเตอร์เนทที่บ้าน เฉพาะค่าใช้จ่ายประจำแบบยังไม่ได้กินข้าวซักคำนึงเนี่ยก็เดือนละสองหมื่นกว่าบาทแล้วค่ะ” อิ่มบ่นยาว

“แหม คุณอิ่มอย่าคิดเหมือนเป็นลูกจ้างสิครับ งานฟรีแลนส์เนี่ยยิ่งทำ ยิ่งเก๋ายิ่งได้เงินมากและเป็นที่ต้องการตัวนะครับ บล๊อกเกอร์ดังๆ เค้าก็จะได้ค่ารีวิวมากกว่าคุณอิ่มหลายเท่า แล้วเค้าไม่ได้รีวิวเฉพาะอาหารตามร้านนะครับพวก delivery พวกขนม Home-made อะไรเค้าก็รับรีวิวหมด แถมยังได้เงินจากการออก event ไหนจะออกทีวี สัมภาษณ์เอยไปเป็นกรรมการตัดสินการแข่งอาหารเอย และการได้โฆษณา การลงรูปหรือได้สปอนเซ่อร์ในเพจหรือบล๊อกของตัวเอง พวกที่ดังๆ สามารถมีรายได้เดือนละเป็นแสนบาท สบายๆเลยครับ” อัคสาธยายช่องทางการทำเงินในวงการนักรีวิวอาหารให้เธอฟัง

“จริงเหรอคะคุณอัค” อิ่มถามตาโตและหัวใจก็พองโตด้วย

“จริงครับผม แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้นะครับ ส่วนคนที่ขยันงานมีคุณภาพและดังๆ น่าจะได้ทุกคนแหล่ะครับ คนเค้าถึงยึดการเป็นบล๊อกเกอร์เป็นอาชีพหลักจริงๆได้ไงครับ” อัคอธิบายเพิ่ม

“ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะคะ มันเป็นกำลังใจให้ฉันได้อย่างดีเลยค่ะ” อิ่มยิ้ม รู้สึกขอบคุณในข้อมูลที่เธอเพิ่งได้รับมาจากเขา มันเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์สำหรับอิ่มจริงๆ อิ่มมองอัคอย่างเต็มตา อีตาคนนี้หน้าตานิ่งๆพูดห้วนๆแต่จริงๆแล้วก็ใจดีนะเนี่ย อิ่มและอัคเดินมาถึงรถพอดี อิ่มบอกลาอัคแล้วค่อยๆขับรถออกจากที่จอดรถ

ถึงอิ่มจะรู้ตัวว่าเพิ่งอยู่ในส่วนเริ่มต้นของเส้นทางอาชีพนี้ แต่เธอก็พอจะมองเห็นแล้วว่าคนที่เค้าประสบความสำเร็จกัน ที่ฝรั่งเรียกว่า Best scenario นั้นทำให้เห็นว่าอาชีพนี้อาจสามารถให้ผลตอบแทนกับเธอได้พอๆกับความสุขทางจิตใจ มันสามารถสร้างรายได้ให้บล๊อกเกอร์ที่ประสบความสำเร็จได้ด้วย ส่วน worst case หรืออย่างเลวที่สุดของการทำอาชีพนี้สำหรับอิ่มก็คือทำไปอย่างที่เธอทำๆอยู่ทุกวันนี้ มีงานประจำห้าวันต่อสัปดาห์และการรีวิวอาหารก็เป็นงานเสริมที่ทำได้ในตอนเย็นหรือในวันเสาร์อาทิตย์ มีแต่ดีมากกับดี ชีวิตเราตอนนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายนี่หว่า ดีกว่าเมื่อสองสามเดือนก่อนตั้งเยอะ

อิ่มคิดอะไรเรื่อยเปื่อยในหัวตัวเองและขับรถออกไป ไม่ได้เห็นเลยว่าอัคก็มองตามอิ่มไปจนรถเลี้ยวลับสายตาไปด้วย.

 

-------------- จบตอนที่ 7 ----------------

 

<<Previous อ่านตอนที่ 6 คลิ๊กที่นี่ <<                                                                                     

>>Next อ่านตอนที่ 8 คลิ๊กที่นี่>>

Visitors: 43,353