ตอนที่ 9: ทะเลฤดูร้อนหรือทะเลรึดูรัก Somewhere Beyond the Sea

<<Previous อ่านตอนที่ 8 กดที่นี่<< 

>>Next อ่านตอนที่ 10 กดที่นี่>>

 ตอนที่ 9: ทะเลฤดูร้อนหรือทะเลรึดูรัก
Somewhere Beyond the Sea

ผิดกับร้านก๋วยเตี๋ยวทะเลบรรยากาศโจ๊ะสะใจ รสชาติเด็ดที่ได้ไปรีวิวเมื่อตอนเที่ยง ร้านกาแฟที่เพิ่งรีวิวไปเมื่อซักครู่นี้ ท่าทางจะไม่รอดเกิน หกเดือนแน่ ทำเลไม่ดี ไม่มีวิวอะไรทั้งสิ้น เครื่องดื่มและขนมทุกอย่างธรรมดาแต่ราคาแพงเท่าร้านดังๆในกรุงเทพ เวลาเจอร้านอย่างนี้ อิ่มอดที่จะสงสารเจ้าของร้านไม่ได้ เขาไม่ได้ศึกษาถึงความเป็นไปได้เลยหรืออย่างไรนะก่อนที่จะลงทุนเปิดร้านเนี่ย บล็อกเกอร์และทีมงานทั้งหมดใช้เวลาอยู่ที่ร้านกาแฟนี่ประมาณหนึ่งชั่วโมงไม่ใช่ว่าเพราะชิลเลยนั่งนาน แต่เพราะกาแฟทำช้ามาก ทั้งที่คิวก็ไม่ได้ยาวอะไร พอได้เครื่องดื่มกับครบทุกคนแล้วก็มีเวลาคุยธุรกิจกันแค่ไม่ถึงสิบนาที แล้วทีมงานก็ต้องบอกลาและบึ่งรถมารีวิวร้านอาหารมื้อเย็นต่อ

 

ยามเย็นที่เขาตะเกียบ หาดกว้างทอดยาวไปไกลสวยสบายตา ร้านอาหารที่บล๊อกเกอร์ต้องมารีวิวนี้เป็นอาหารอิตาเลี่ยนซีฟู้ดผสมผสานกับอาหารไทย ร้านตั้งอยู่ริมทะเลใกล้เขาตะเกียบ ร้านตกแต่งด้วยโทนสีขาวพร้อมของประดับเป็นหอยและรูปปลาต่างๆดูน่ารักและอบอุ่น ร้านมีมุมน่ารักๆให้ถ่ายรูปได้หลายมุม อิ่มและบล๊อกเกอร์อีกสามคนใช้ทั้งโทรศัพท์มือถือและกล้องถ่ายรูปขนาดกระทัดรัดถ่ายบรรยากาศของร้านในขณะที่รออาหาร เจ้าของร้านเป็นผู้ชายร่างท้วม อารมณ์ดี ใส่เสื้อยืดมีปกกางเกงขาสั้นและดูสบายตัว เดินออกมาต้อนรับและแนะนำเมนูที่เตรียมไว้ให้บล๊อกเกอร์มาชิม เขายื่นเอกสารขนาดA4 ให้บล๊อกเกอร์และทีมงานคนละใบ

“สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับสู่อิลมาเร่ หรือ Il Mare มาครับ เอกสารที่ทุกท่านได้รับไปเป็นข้อมูลสรุปของทางร้านนะครับ เราเพิ่งเปิดมาได้เจ็ดเดือนและได้เสียงตอบรับของลูกค้าค่อนข้างดีครับ วันนี้เรามีเมนูของทางร้านมานำเสนอสามสี่เมนูนะครับคือ สปาเกตตี้เส้นดำขี้เมาทะเลโรยไข่กุ้ง, ลาซานย่ามะเขือยาวมังสวิรัติ เป็นสูตรของทางร้านเราเองเลย ซึ่งรายละเอียดก็มีอยู่ในเอกสารสรุปที่แจกไปแล้วนะครับ บล๊อกเกอร์ทุกท่านจะได้รับอาหารคนละชุดเลยนะครับ จะได้ไม่ต้องรอกันถ่ายภาพไม่ต้องรอกันทาน” เขาพูดไปยิ้มไปอย่างอารมณ์ดี

“มีบริฟไว้ให้อย่างนี้ดีเลยค่ะ เดี๋ยวพอกินอิ่มก็ลืมชื่ออาหาร ลืมส่วนผสมอีก” อิ่มบอกเจ้าของร้านอย่างยิ้มแย้ม

จานแรกที่ออกมาเสิร์ฟแล้วเป็นบรูเชตต้ามะเขือเทศสดโรยชีสสามชนิดอบจนชีสละลายยืด รับประทานเป็นอาหารทานเล่นเรียกน้ำย่อยแบบแอบปิไทเซ่อร์ฝรั่ง เสิร์ฟตอนควันร้อนๆกัดแล้วชีสยืดยาวตัวขนมปังกรอบมีกลิ่นกระเทียมนิดๆหอมน้ำมันมะกอกหน่อยๆ อิ่มถ่ายภาพนิ่งของอาหารจานนี้แล้ว ตั้งกล้องถ่ายวีดีโอวางบนขาตั้งแล้วใช้มือบิขนมปังและชีสตรงกลางแล้วค่อยๆดึงให้ทั้งสองฝั่งแยกออกจากกัน ทำให้ชีสที่อยู่ตรงกลางยืดยาวออกมาพร้อมควันร้อนๆ ดูมีชีวิตชีวาน่ากินมาก แล้วเปลี่ยนมาถ่ายรูปนิ่งขณะชีสยืดด้วย บล๊อกเกอร์อีกสามคนก็ลงมือถ่ายรูปกันอย่างจิงจังคนละมุมสองมุม แต่ละคนก็มีสไตล์การถ่ายรูปที่ไม่เหมือนกัน บางคนชอบถ่ายมุมข้างบนลงมา บางคนชอบมุมข้างๆเสยขึ้น บางคนชอบเฉียงๆอิ่มว่าก็สวยไปคนละแบบ

มีเสียงพูดคุยกันเล็กน้อยเพราะต่างคนต่างกำลังง่วนกับการถ่ายภาพของตัวเองเพื่อให้ได้รูปที่สวยถูกใจอยู่ อิ่มกัดกินบรูเชตต้าก่อนที่มันจะหายร้อน รสชาติค่อนข้างเค็มไปหน่อยคงใส่เกลือในมะเขือเทศหั่นเต๋าเยอะไป ถ้าปรุงแบบซัลซ่าออกเปรี้ยวบ้างเค็มบ้างหวานนิดหน่อยน่าจะกลมกล่อมกว่านี้ อิ่มแอบให้คะแนนอยู่ในใจ จานนี้สวยนำเสนอดีแต่รสชาติงั้นๆมากเลย กินได้แต่ไม่มีอะไรพิเศษ เอาไปแค่สามหมูครึ่งจากเต็มห้าละกัน

อาหารจานต่อมา สปาเกตตี้เส้นดำขี้เมาทะเลโรยไข่กุ้ง จานนี้ส่งกลิ่นหอมเครื่องเทศลอยมาแต่ไกล เส้นสปาเก็ตตี้สีดำสนิทลวกสุกกำลังดีมีความกรุบเหลืออยู่นิดๆผัดแบบแห้งหมาดๆกับซอสเครื่องเทศแบบไทยๆประโคมมาทั้งโหระพาขิงข่าตะไคร้และพริกไทอ่อน ใส่กุ้งเนื้อแน่นๆมาหลายตัว ปลาหมึกสีขาวบั้งเป็นริ้วๆหลายชิ้นและหอยแมลงภู่ตัวโตๆสองตัว โรยพริกชี้ฟ้าแดงสดหั่นฝอย สีสันตัดกันทั้งสีดำสีแดงสีเขียว น่ารับประทานมาก อิ่มใช้มือนึงตักเส้นขึ้นมาด้วยส้อมและจิ้มกุ้งให้ติดปลายส้อมขึ้นมาด้วย แล้วถือค้างไว้ถ่ายรูปนิ่ง มีควันจางๆลอยเป็นแบ๊กกราวด้วย อิ่มว่ามันดูน่ากินมาก ถ่ายไปสี่ห้ารูปอิ่มก็ไม่ไหว ม้วนเส้นสปาเกตตี้รวมกับเครื่องเทศและกุ้งกับปลาหมึกคำโตเข้า ใส่เข้าปากแล้วหลับตาเคี้ยวไม่สนใจใคร ไม่คุยกับใคร กลิ่นเครื่องเทศหอม รสชาติโดยรวมเผ็ดนิดหน่อยคนไทยกินได้ฝรั่งกินดี อาหารทะเลสดมากเนื้อแน่นเด้งดึ๋งๆในปากพอกินพร้อมเส้นดำกรุบนิดๆหวานนิดๆ ทำให้จานนี้อร่อยมาก ราคาเท่าไหร่เนี่ยอร่อยขนาดนี้ อิ่มหยิบเมนูมาดูราคาอาหาร พอเห็นราคาสี่ร้อยห้าสิบบาทต่อจาน จึงตัดสินใจให้คะแนนสี่หมูครึ่งพอ อร่อยดี คุณภาพดี แต่แอบแพงไปนิดนึง ถ้าขายสามร้อยนิดๆ จะให้ห้าหมูเลย

พนักงานเสิร์ฟยกอาหารจานต่อมาวางตรงหน้าอิ่มซึ่งคือลาซานย่ามะเขือยาวไร้สารพิษหรือที่เรียกว่าออแกนิกเผาเป็นอาหารจานมังสวิรัติที่ทางร้านภูมิใจนำเสนอ ลาซานย่าหรือแป้งเป็นชั้นๆสลับกับมะเขือยาวเผาที่สุกกำลังดี เนื้อนุ่ม หอม แต่ละชั้นนก็ใส่ชีสและซอสมะเขือเทศเข้มข้นและทำซ้ำหลายๆชั้นสลับทับกันไป มีการโรยชีสมอซาเรลล่าอย่างหนาตรงด้านบนสุด นำไปอบจนมีสีเหลืองทองชีสหน้าบนสุดละลายเดือดปุดๆ แสดงว่าในครัวเพิ่งทำสดๆก่อนยกมาเสิร์ฟ พอตัดมาชิมคำนึงชีสก็เยิ้มยืดออกมาพร้อมๆกับน้ำฉ่ำๆของเนื้อมะเขือเผาผสมกับซอสมะเขือเทศเข้มข้น อิ่มถ่ายรูปให้เห็นชั้นของแป้งและมะเขืออย่างชัดเจน เมนูนี้ไม่มีเนื้อสัตว์เข้ามาเกี่ยวข้องแม้แต่น้อย ทำให้เป็นเมนูมังสวิรัติเต็มตัว สวยด้วยอิ่มด้วยมีรสชาติกลมกล่อมดี แต่ถ้าใครไม่ชอบชีสก็อาจจะรู้สึกว่าเลี่ยนไปนิดหน่อย ต้องใส่ซอสทาบาสโก้เสริมรสเปรี้ยวและเผ็ดเข้าไปด้วย จะทำให้อร่อยมากขึ้น อิ่มให้คะแนนจานนี้สี่หมู ทานได้อร่อยโอเค คนเป็นมังสวิรัติคงชอบมาก เพราะขนาดมนุษย์กินเนื้ออย่างอิ่มยังชอบเลย

จานต่อมาเป็นจานหลักหรือ main course ที่เจ้าของร้านภูมิใจนำเสนอมากๆ คือ สเต็กทีโบนซอสไวน์แดง เมนูภาษาอังกฤษเรียกว่า T-Bone steak with reduced red wine sauce เป็นซอสสูตรที่เจ้าของร้านกับเชฟช่วยกันคิดขึ้นมาเอง เนื้อวัวส่วนติดกระดูกชิ้นโต ทอดในกระทะพร้อมเนยและโรสแมรี่หอมๆ เสิร์ฟคู่กับซอสไวน์แดงเคี่ยว จัดจานมาสวยงาม เนื้อชิ้นโตปรุงรสมาดี และสุกกำลังดีชุ่มฉ่ำแบบปานกลางหรือมีเดียม ซอสเข้ากันและส่งเสริมรสเนื้อวัวได้ดี ผักต้มที่เสิร์ฟมาเป็นเครื่องเคียงก็สดดี ทางร้านมีไวน์แพร์ริ่งด้วยการจัดไวน์แดงมาให้รับประทานคู่กับสเต็กด้วยหนึ่งแก้ว อิ่มพยักหน้าหงึกหงักกับตัวเองขณะที่หั่นเสต็กจิ้มใส่ปากอย่างไม่วางมือ เมื่อกลืนสเต็กเนื้อนุ่มลงคอก็ยกแก้วไวน์ขึ้นมาหมุนควงแก้วนิดหน่อยให้ไวน์ได้กระทบกับอากาศให้มากขึ้นเพื่อรสชาติที่กลมกล่อมขึ้น อิ่มจิบไวน์นิดหน่อย กลิ่นไวน์ผสมกลิ่นสเต็กส่งให้เกิดความละมุนขึ้นในปากอย่างที่ยากจะบรรยายทำให้โดยรวมแล้วอร่อยมาก พอเหลือบไปดูราคา จานนี้หนึ่งพันสองร้อยบาท ไวน์แก้วละสี่ร้อยบาท ไม่แปลกใจเลยที่อร่อยมาก จานนี้อิ่มให้สี่หมูครึ่งเลย ภูมิใจนำเสนออร่อยคุ้มค่าราคาที่แพง อร่อยอย่างนี้อนุญาตให้แพงประมาณนี้ได้

พอจานหลักจบไปก็ถึงคิวของหวาน ทางร้านเตรียม ทีรามิสสุ มาให้รีวิว จานนี้เป็นของหวานสูตรเด็ดของทางร้านเสิร์ฟคู่กับเวเฟอร์กรอบๆ อร่อยใช้ได้แต่ไม่ได้อร่อยไปกว่ามาตรฐานทีรามิสสุทั่วๆไป พอทุกคนรับทานอาหารเสร็จก็เหมือนเดิม คุณอัคไปคุยงานกับเจ้าของร้านครู่นึงแล้วก็พอเรียบร้อย น้องปลาก็ชวนทุกคนขึ้นรถกลับโรงแรม

“อิ่มไหมคะ” ปลาถามทุกคนหลังจากลงรถตู้มาครบแล้ว

“อิ่มมากค่ะ เนี่ยเพลินง่วงไปหมดแล้วค่ะ ตาจะปิด” น้องเพลินพูดด้วยเสียงงัวเงีย ทำให้ทุกคนหัวเราะครื้นเครง

“หวังว่าทุกท่านจะได้รูปสวยๆถูกใจเพื่อจะไปลงที่เพจของทุกท่านนะคะ ในส่วนของพรุ่งนี้ ขอเล่ารายการคร่าวๆอีกทีนะคะว่า เช้าเชิญบล๊อกเกอร์รีวิวอาหารเช้าที่โรงแรมและตัวโรงแรมตามสะดวก ออกจากโรงแรม สิบเอ็ดโมงครึ่งเพื่อไปรีวิวร้านอาหารทะเลแบบไทยๆ เสร็จแล้วก็กลับกรุงเทพเลยค่ะ ตอนนี้ก็เกือบจะสี่ทุ่มแล้วเชิญทุกท่านพักผ่อนตามอัธยาศัยนะคะ พรุ่งนี้เช้าพบกันแล้วล้อหมุนสิบเอ็ดโมงครึ่งค่ะ” ทุกคนปรบมือให้น้องปลาเป็นกำลังใจที่จัดทริบได้ดี

เมื่อมาถึงโรงแรมทุกคนก็แยกย้ายไปพักผ่อน อิ่มก็ขึ้นไปบนห้องอาบน้ำให้สดชื่นแล้วแทนที่จะเข้านอนเลย อิ่มตัดสินใจลงมาเดินเล่นเงียบๆดีกว่า ทะเลตอนกลางคืนก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบนึง  เดินคนเดียวเพลินๆก็ดีเหมือนกัน

ลมทะเลยามค่ำวันนี้พัดมาเอื่อยๆ ฟ้ามืดคืนนี้ส่งให้เห็นดวงดาวบนท้องฟ้าส่องแสงระยิบระยับสะท้อนกับน้ำทะเล เสียงคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งอย่างแผ่วเบาแต่ไม่หยุดหย่อน สร้างความผ่อนคลายได้เป็นอย่างมาก แสงไฟริมถนนเลียบหาด ทำให้บรรยากาศสลัวดูโรแมนติกขึ้นและก็ทำให้รู้สึกปลอดภัยด้วยในขณะเดียวกัน อิ่มตัดสินใจถูกแล้วที่ยังไม่นอนและมาเดินย่อยอาหารริมหาดคนเดียว เสื้อยืดหลวมๆกางเกงเลสีม่วงอ่อนผ้าบางเบาใส่สบาย เป็นชุดสไตล์เที่ยวทะเลที่อิ่มชอบมาก ใส่สบายไม่โป๊และดูกระฉับกระเฉงได้ด้วย อิ่มเพลิดเพลินกับการเดินจนไม่รู้ตัวว่าเดินมาห่างจากโรงแรมมาเท่าไหร่แล้ว คนในเมืองกรุง รวมถึงตัวเธอเองด้วย จะเครียดอะไรกันนักหนา คนแถวนี้ดูเขามีชีวิตที่ผ่อนคลายกันแบบสบายๆ ดูมีความสุขดี ไม่ต้องเอาวัตถุมาเป็นตัวบ่งชี้ความสุขหรือความสำเร็จของชีวิต

อิ่มคิดไปเรื่อยเปื่อย ริมหาดมีคนไม่มากนัก ส่วนใหญ่เป็นคู่รักมานั่งคุยกัน บ้างก็เป็นกลุ่มเพื่อนนั่งเล่นกีตาร์ร้องเพลงและดื่มสังสรรค์กัน ความสุขในชีวิตมันไม่ได้หายากอะไรเลย แค่ใจเป็นสุขจะมีมากมีน้อยก็เป็นสุขได้แล้ว อิ่มยิ้มให้ภาพความสุขแบบง่ายๆที่หาได้ริมทะเล แล้วหยุดนั่งพักที่โขดหินก้อนนึงบนชายหาด เอาเท้าเขี่ยทรายเล่นเพลินๆ ถ้าสามารถหยุดเวลาไว้อย่างนี้ซักอาทิตย์โดยไม่ต้องกลับไปทำงานก็คงจะดี อิ่มหลับตาฟังเสียงคลื่น แล้วปล่อยให้ลมทะเลพัดผ่านหน้าไปเบาๆอย่างสบายใจ

“คุณอิ่มใช่ไหมครับ” เสียงทุ้มๆคุ้นๆหูดังมาจากด้านหลัง อิ่มหันตามเสียงทุ้มนั้นไปดู

“อ่าว คุณอัค มาทำอะไรคะเนี่ย” อิ่มแปลกใจเล็กน้อย

“มาเดินเล่นย่อยอาหารน่ะครับ เมื่อครู่นี้ทานไปเยอะเลยแน่นไปหมด” อัคกล่าว

“อิ่มก็เหมือนกันค่ะ เมื่อเย็นทานแบบไม่คิดชีวิตเลย" อิ่มพูดแล้วทั้งคู่ก็หัวเราะร่วน

“ขอนั่งพักเหนื่อยด้วยคนนะครับ นี่คุณอิ่มมาไกลเหมือนกันนะครับเนี่ย” เขานั่งลงข้างๆเธอ

“ไม่ได้รู้ตัวเลยค่ะ เดินไปเพลินๆ เรื่อย นี่พอเริ่มเมื่อยก็เลยนั่งพักค่ะ” อิ่มหันไปตอบ

“งั้นเดี๋ยวผมไปหาซื้อน้ำมาให้นะครับ จะได้สดชื่น ร้านอยู่ตรงนี้เอง” อัคไม่ได้รอคำตอบจากอิ่มหากแต่ลุกขึ้นเดินกึ่งวิ่งจากไปในแสงสลัว เขาข้ามไปที่ร้านสะดวกซื้ออีกฟากของถนน เพียงครู่สั้นๆก็กลับมา

“ผมก็ลืมถามว่าคุณอิ่มชอบดื่มน้ำแบบไหน ผมเลยซื้อมาหลายอย่างเลยครับ ให้คุณอิ่มเลือกที่คุณอิ่มอยากทาน” เขายิ้มอย่างใจดี อัคยื่นถุงที่เต็มไปด้วยเครื่องดื่มทั้งที่เป็นกระป๋อง ขวดแก้วขวดพลาสติก รวมๆแล้วเกือบสิบอย่าง สิ่งที่เตะตาอิ่มยามนี้คือเบียร์กระป๋องเขียวๆยาวๆที่แลดูเย็นเชียบมีไอน้ำเกาะรอบกระป๋องดูยั่วยวนมาก แต่ถ้าเธอเลือกเบียร์เลยมันจะดูน่าเกลียดมากไหมนะ อิ่มเหลือบตาขึ้นมองอัค เขาก็มองเธออยู่เช่นกัน คงกำลังลุ้นว่าเธอจะเลือกอะไร เอาน่า เขาไม่ว่าอะไรหรอก เขาให้เราเลือกสิ่งที่เราอยาก มีบางอย่างบอกกับอิ่มว่าอิ่มไม่ต้องเสแสร้งอะไรเวลาอยู่กับผู้ชายคนนี้ เอาล่ะนะ อิ่มยิ้มให้อัคพร้อมยักไหล่นิดๆพลางเอื้อมมือไปหยิบเบียร์กระป๋องนั้นขึ้นมา

“ขออันนี้ละกันนะคะ อากาศดีๆริมทะเลกับเบียร์เย็นๆนี่มันเข้ากันมากเลยค่ะ อย่าว่าอิ่มไม่เป็นกุลสตรีเลยนะคะ เพราะปกติแล้วจริงๆอิ่มก็ไม่เคยเป็นกุลสตรีจริงๆแหล่ะค่ะ” อิ่มหัวเราะเบาๆแก้เขิน

“ได้เลยครับคุณอิ่ม สมัยนี้แล้วนิยามของคำว่ากุลสตรีมันก็ต้องเปลี่ยนไปตามสมัยครับ ผมเองก็ซื้อมาหลายกระป๋องอยู่ เพราะรู้สึกคอแห้งอยู่เหมือนกัน ผมเปิดให้นะครับ” อัคนั่งลงข้างๆอิ่มแล้วหยิบเบียร์กระป๋องที่อิ้มเลือกมาเปิดให้แล้วส่งให้อิ่มพร้อมรอยยิ้มเป็นธรรมชาติ

“ขอบคุณค่ะ” อิ่มรับกระป๋องสีเขียวมา อัคเปิดกระป๋องของตัวเอง “เชียร์สครับ” เขายื่นกระป๋องมาใกล้ “เชียร์สค่ะ” อิ่มและอัคชนกระป๋องกันแล้วต่างก็ยกกระป๋องขึ้นจิบ เครื่องดื่มเย็นๆในค่ำคืนที่อากาศดีนี่ มันช่างเข้ากันจริงๆ อิ่มและอัคจิบเครื่องดื่มของใครของมันไปเรื่อยๆรับลมเย็นๆแสนสบาย หลังจากนั่งดื่มไปซักพัก อัคก็ทำลายความเงียบขึ้นมา

“ถ้าผมจะขอโทรหาคุณอิ่มบ่อยขึ้นจะได้ไหมครับ” เขาถามทั้งที่ไม่ได้มองหน้าเธอ

“ได้สิคะ ถ้ามีร้านใหม่ๆเข้ามา อิ่มก็ยินดีไปรีวิวให้อยู่แล้วค่ะ” อิ่มตอบแบบงงๆ

“แล้วถ้าผมไม่ได้โทรไปเรื่องรีวิวอาหารล่ะครับ” เขาถามแล้วหันมาหาเธอ “คะ ยังไงนะคะ” อิ่มหันมามองเขา ซึ่งตอนนี้นั่งอยู่ใกล้เธอมาก

“คือ ผมอยากรู้จักคุณอิ่มมากกว่านี้ครับ ถ้าคุณอิ่มไม่รังเกียจ” เขาตอบด้วยแววตายิ้ม แลดูซื่อๆและจริงจัง

“เอ่อ มันจะดีเหรอคะคุณอัค” อิ่มแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง

“ดีสิครับ ผมไม่ได้รู้สึกว่าอยู่กับใครแล้วสบายใจอย่างงี้มานานแล้วครับ คุณอิ่มเป็นคนเก่ง เป็นกันเองดี น่ารักด้วย” อัคหันมามองอิ่มแล้วยิ้ม อิ่มเริ่มจะไปไม่ถูก เฮ้ยยยย บ้า บ้า บ้า พูดอะไรอย่างงี้ บอกกันตรงโต้งๆอย่างนี้เลยเหรอ เธอรู้สึกร้อนๆวูบๆที่หน้า ทันใดนั้นในความคิดของอิ่มก็มีนางฟ้าและนางมารยืนเถียงกันด้วยความเร็วสูงราวกับรถไฟชินคันเซน

“แก่ป่านนี้แล้ว มีคนนิสัยดี การงานโอเคมาคุยด้วย จะเล่นตัวไปทำไมเล่าอิ่ม” นางฟ้ามาดเซอร์พูดจี้ใจดำ

“แต่เรื่องหล่อก็ไม่ได้หล่อเริ่ด รวยก็ไม่รวยอะไร เป็นแค่ลูกจ้างเค้า ท่าทางจะเงินเดือนน้อยกว่าเราอีกนะอิ่ม มันจะคู่ควรเหรอ” นางมารใส่ชุดใหญ่

“อย่าเอาเรื่องเงินเป็นที่ตั้งสิอิ่ม เขาก็เป็นถึงระดับผู้จัดการใหญ่ไม่ได้ยากจนอะไร เราเองก็ชอบคุยกับเขา อยู่กับเขาแล้วเราก็สบายใจไม่ใช่เหรอ” นางฟ้าพูดด้วยเสียงอ่อนโยน

“เขาจะมาเกาะเรารึเปล่า สมัยนี้ไม่มีเงินแล้วจะเอาอะไรกิน จะมาเน้นกัดก้อนเกลือกินอย่างสบายใจอะไรนั่น มันไร้สาระ” นางมารใส่ไฟต่อ

“เราคงไม่อยากจะแก่ตายลำพังใช่ไหมอิ่ม เขาก็ไม่ได้ดูยากจนอะไรนะ นี่รถไฟความเร็วสูงขบวนสุดท้ายแล้วนะอิ่ม” นางฟ้าเร่งเครื่องโต้เกมส์กับนางมาร

“เรายังมีพี่แดนนี่นะ อาจจะเป็นคนที่ใช่ก็ได้ เค้าดูและเราดีจะตาย แถมรวยกว่าเห็นๆการงานก็ดีงาม สมกับเราทุกอย่าง” นางมารงัดไม้เด็ดขึ้นมาสู้

"พี่แดนนี่เค้ายังไม่พูดอะไรกับเราจริงจังซักหน่อย มีแต่หยอกไปมาอยู่นั่นแหล่ะ อาจจะไม่ได้จริงจังอะไรกับเราก็ได้" นางฟ้าสวนกลับด้วยหมัดอัพเปอร์คัท อิ่มสะบัดหัวเบาๆไล่นางฟ้าและนางมารออกไปจากความคิด

“คุณอิ่มยังไม่มีใครใช่ไหมครับ” อัคถามตรงๆ ภาพพี่แดนนี่ลอยขึ้นมาในหัวของอิ่ม จะว่าไปเราก็ยังไม่ได้เป็นอะไรกับพี่เค้าเลย แค่คุยๆกันไปมา ทานข้าวกันบ้างนิดหน่อย แต่พี่เค้าน่ารักกับเรามาก แต่ก็ไม่มากพอที่จะทำให้เราปิดโอกาสที่จะทำความรู้จักกับคนดีๆอีกคนนี่นา

“ชีวิตอิ่มที่ผ่านมามีแต่บ้าทำงานค่ะ พอมีคุยๆอยู่บ้างแต่ก็ยังไม่ได้มีจริงจังอะไร” อิ่มตอบไปโดยที่ไม่มองหน้าเขา หากแต่ทอดสายตาไปไกลๆที่ท้องทะเล

“ผมชอบคุยกับคุณอิ่มจังครับ แล้วคุยกับผม คุณอิ่มสบายใจมั่งไหมครับ” เขาหันมามองหน้าเธอตรงๆ

“ก็ดีนะคะ นี่เราก็คุยกันมาทั้งบ่ายแล้วนี่คะ” อิ่มตอบเขินๆแล้วหลบตาไป

“ผมไม่ใช่คนหล่อ ไม่ใช่คนรวย หรือคนเก่งอะไร แต่ถ้าผมคบกับใครผมจริงใจเสมอ ผมชอบคุณอิ่ม ลองให้โอกาสผมนะครับ” อัคมองตาอิ่มแล้วส่งยิ้มหวานแปลกๆให้เธออีกครั้ง เหมือนรอยยิ้มที่เธอเห็นที่ร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำน้ำข้น อิ่มหลบตาและมองไปที่ทะเลด้วยรอยยิ้ม เบียร์หมดกระป๋องแล้ว อิ่มได้แต่นั่งบีบกระป๋องเล่นพลางคิดอยู่ในใจว่าจะหยิบเพิ่มอีกกระป๋องหนึ่งก่อนดีหรือตอบคำถามเขาก่อนดี อัคหยิบเบียร์ขึ้นมาจากถุงอีกหนึ่งกระป๋องเปิดแล้วยื่นให้อิ่มราวกับอ่านใจของเธอออก โดยที่ไม่ได้พูดอะไร อิ่มยิ้มพยักหน้าขอบคุณเขาแล้วรับกระป๋องมาจิบ

“เราค่อยๆคุยกันไปเรื่อยๆนะครับ วันนึงเราก็จะรู้เองว่าเราทั้งคู่นี่ใช่สำหรับกันและกันหรือเปล่า” พูดจบเขาก็เปิดเบียร์ใหม่ให้ตัวเองอีกหนึ่งกระป๋อง อิ่มยิ้มอย่างสบายใจแล้วยื่นกระป๋องของตัวเองไปใกล้เขา

“ค่ะ ค่อยๆคุยกันไปก็ดีค่ะ” อัคยิ้มกว้างแล้วชนกระป๋องของเขากับเธอ อิ่มก็ยิ้มเบาๆให้อัคทั้งๆที่ในใจมันก็เต้นเป็นจังหวะเร็วรัว นานแค่ไหนแล้วที่ไม่มีใครมาจีบตรงๆซึ่งๆหน้าแบบนี้

“เชียร์สครับคุณอิ่ม” เขามองตรงมาที่เธอ พร้อมรอยยิ้มกว้าง

“เชียร์สค่ะคุณอัค” เธอก็มองกลับตรงไปที่เขา พร้อมรอยยิ้มที่กว้างไม่แพ้กันเช่นกัน

อิ่มคิดในใจปีนี้ดวงเราขึ้นนะเนี่ย หลังจากที่ว่างเว้นไปหลายปีอยู่ดีๆก็มีคนเข้ามาคุยด้วยทีเดียวสองคนพร้อมๆกัน มันความความรู้สึกที่ดีมากอย่างประหลาดจริงๆ อิ่มและอัคจิบเครื่องดื่มของตัวเองไปเรื่อยๆ ไม่ได้พูดอะไรต่อกันมากนัก หากแต่นั่งฟังเสียงคลื่นซัดเข้าหาฝั่งเบาๆอยู่ข้างๆกัน และปล่อยให้ลมทะเลเย็นๆพัดเอาคนเคยแปลกหน้าสองคนเข้ามาใกล้กันขึ้นอีกทีละนิด ทีละนิด

----------------------------------------------------

 

<<Previous อ่านตอนที่ 8 กดที่นี่<<  

>>Next อ่านตอนที่ 10 กดที่นี่>>

 

 

 

 

 

Visitors: 43,350